วันพุธที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2563

เอ็นร้อยหวายอักเสบ (Achilles Tendinitis)

 


เอ็นร้อยหวายอักเสบ (
Achilles Tendinitis) เป็นการอักเสบบริเวณเอ็นร้อยหวายที่เป็นเอ็นเชื่อมต่อจากกล้ามเนื้อน่องไปจนถึงกระดูกส้นเท้า โดยมักเกิดจากการเล่นกีฬาหรือการใช้งานเอ็นร้อยหวายอย่างหนักซ้ำ ๆ เช่น วิ่ง หรือกระโดด เป็นต้น โดยเกิดขึ้นได้บ่อยกับผู้ที่เล่นกีฬา หากอาการไม่รุนแรงก็สามารถรักษาได้เองที่บ้าน หรือบางกรณีก็อาจต้องไปพบแพทย์

อาการทั่วไปของเอ็นร้อนหวายอักเสบที่พบได้บ่อย คือ

1.       ปวดและบวมบริเวณเหนือส้นเท้า ในขณะเดิน เล่นกีฬา หรือเมื่อยืดข้อเท้า

2.       มีอาการปวดอย่างรุนแรงหลังออกกำลังกาย

3.       มีอาการบวมที่เกิดขึ้นตลอดเวลา และหากทำกิจกรรมต่าง ๆ ก็อาจทำให้อาการรุนแรงขึ้น

4.       รู้สึกแน่นบริเวณกล้ามเนื้อน่อง

5.       เมื่องอเท้าจะรู้สึกเคลื่อนไหวไม่ค่อยได้

6.       รู้สึกอุ่นบริเวณส้นเท้า

7.      หากผู้ป่วยมีอาการดังข้างต้นอย่างเรื้อรังหรือรุนแรง ควรรีบไปพบแพทย์ เพราะหากปล่อยไว้ก็อาจทำให้เส้นเอ็นฉีกและมีอาการแย่ลงได้

สาเหตุของเอ็นร้อยหวายอักเสบ

1.       เอ็นร้อยหวายอักเสบเกิดจากการทำกิจกรรมซ้ำ ๆ หรือใช้งานเอ็นร้อยหวายมากเกินไปจนทำให้เกิดอาการตึงและบาดเจ็บ โดยส่วนใหญ่มักมีสาเหตุ ดังนี้

2.       การออกกำลังกายและการเล่นกีฬา เป็นปัจจัยที่พบได้บ่อยกว่าสาเหตุอื่น ๆ เช่น

3.       เคลื่อนไหวร่างกายอย่างฉับพลัน หรือขาดการยืดกล้ามเนื้อที่เหมาะสมก่อนออกกำลังกาย

4.       เล่นกีฬาชนิดที่ต้องหยุดเคลื่อนไหวหรือหมุนอย่างกะทันหัน เช่น เทนนิส บาสเกตบอล เป็นต้น

5.       ออกกำลังกายในท่าเดิมซ้ำ ๆ หรือเคลื่อนไหวร่างกายจนทำให้กล้ามเนื้อน่องหรือเส้นเอ็นตึงเกินไป

6.       สาเหตุอื่น ๆ

·         สวมรองเท้าที่ไม่เหมาะสม ไม่พอดีกับเท้า

·         สวมรองเท้าส้นสูงเป็นประจำ หรือสวมติดต่อกันเป็นเวลานาน

·         มีอายุเพิ่มมากขึ้น เพราะอาจทำให้เอ็นร้อยหวายเสื่อมลงไปตามกาลเวลา

·         มีภาวะเท้าแบน ซึ่งส่งผลให้การรับน้ำหนักของเท้าผิดปกติ เนื่องจากความโค้งของอุ้งเท้ามีน้อยหรือไม่มีเลย และอาจทำให้กล้ามเนื้อหรือเส้นเอ็นตึงเมื่อเคลื่อนไหว

·         มีหินปูนเกาะอยู่หลังส้นเท้า

·         รับประทานยากลุ่มฟลูออโรควิโนโลน หรือยากลูโคคอร์ติคอยด์

 

การวินิจฉัยเอ็นร้อยหวายอักเสบ

แพทย์จะสอบถามผู้ป่วยเกี่ยวกับอาการปวดบวมบริเวณส้นเท้าหรือน่อง โดยมีการทดสอบ เช่น ให้ผู้ป่วยลองยืนบนลูกบอล ให้งอเข่าบนเก้าอี้โดยให้ปลายเท้าพ้นจากขอบเก้าอี้ หรือนอนคว่ำบนเตียงตรวจร่วมกับเหยียดขา จากนั้นแพทย์จะบีบบริเวณกล้ามเนื้อน่อง หากมีอาการเอ็นร้อยหวายฉีกขาด ผู้ป่วยจะไม่สามารถขยับเท้าได้ เป็นต้น ซึ่งการวินิจฉัยดังกล่าวสามารถประเมินการเคลื่อนไหวและความยืดหยุ่นของเท้าหรือข้อเท้าของผู้ป่วยได้

 

ทั้งนี้ แพทย์อาจใช้วิธีอื่นเพื่อช่วยตรวจวินิจฉัยร่วมด้วย เช่น

การเอกซเรย์ (X-Ray) ช่วยให้เห็นภาพเท้าและกระดูกขา แต่ไม่สามารถมองเห็นเนื้อเยื่ออ่อนได้

การสร้างภาพด้วยสนามแม่เหล็กไฟฟ้าหรือเอ็มอาร์ไอ (MRI Scan) เป็นการใช้คลื่นวิทยุร่วมกับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เพื่อตรวจดูความผิดปกติของเอ็นร้อยหวาย โดยช่วยให้แพทย์เห็นภาพการฉีกขาด การเสื่อมสภาพของเนื้อเยื่อ และรายละเอียดของเส้นเอ็นมากขึ้น

อัลตราซาวด์ (Ultrasound) เป็นการใช้คลื่นเสียงตรวจเพื่อแสดงภาพเนื้อเยื่ออ่อนภายในร่างกาย โดยทำให้เห็นการเคลื่อนไหวของเส้นเอ็น ความเสียหาย และการอักเสบที่อาจเกิดขึ้น อีกทั้งยังช่วยให้แพทย์ประเมินการไหลเวียนของเลือดได้

การรักษาเอ็นร้อยหวายอักเสบ

 

การรักษาอาการเอ็นร้อยหวายอักเสบนั้นมีหลายวิธี โดยทั่วไปผู้ป่วยสามารถบรรเทาอาการได้ด้วยตนเองที่บ้าน แต่หากอาการรุนแรงหรือไม่ดีขึ้น ควรไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษาอย่างถูกต้อง

 

การรักษาเบื้องต้น ผู้ป่วยที่มีอาการเพียงเล็กน้อยและเกิดจากสาเหตุที่ไม่รุนแรง อาจบรรเทาอาการได้ด้วยการปฏิบัติตามหลัก RICE เพื่อช่วยลดอาการปวดบวมในเบื้องต้น ดังนี้

 

1.            Rest คือ การพัก โดยควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายที่ก่อให้เกิดแรงต่อเส้นเอ็น และไม่ควรกดบริเวณนั้นจนกว่าอาการจะดีขึ้น หากผู้ป่วยสามารถลดแรงตึงตัวของเส้นเอ็นได้ จะทำให้อาการหายดีอย่างรวดเร็ว

2.            Ice  คือ การใช้น้ำแข็งประคบ อาจใช้ถุงน้ำแข็งประคบบริเวณเส้นเอ็นที่อักเสบประมาณ 15-20 นาที โดยน้ำแข็งจะทำให้อาการบาดเจ็บและอาการบวมดีขึ้น

3.            Compression คือ การรัดด้วยผ้าพันแผล โดยรัดบริเวณเส้นเอ็นเพื่อลดอาการบวมและการเคลื่อนไหวของเส้นเอ็นบริเวณนั้น แต่ไม่ควรรัดผ้าพันแผลแน่นเกินไป เพราะอาจทำให้เลือดไหลเวียนไม่สะดวก

4.            Elevation คือ การยกเท้าเหนือบริเวณหน้าอก โดยอาจนอนราบบนพื้นแล้วนำหมอนมาหนุนเท้า ซึ่งจะสามารถทำให้เลือดไหลเวียนกลับเข้าสู่หัวใจและลดอาการบวมได้

อย่างไรก็ตาม หากดูแลตนเองในเบื้องต้นแล้วอาการไม่ทุเลาลงหรือทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น ผู้ป่วยอาจต้องไปพบแพทย์ ซึ่งอาจต้องใช้วิธีอื่น ๆ ในการรักษาร่วมด้วย ดังนี้

 

1.             การรักษาด้วยยา หากอาการของผู้ป่วยไม่ดีขึ้นหลังจากการกินยา เช่น ยาไอบูโปรเฟน หรือยาในกลุ่มเอ็นเซด (NSAID) เป็นต้น แพทย์อาจให้ยาที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อช่วยลดอาการปวดและการบาดเจ็บ

 

2.             การทำกายภาพบำบัด เป็นวิธีบำบัดรักษาด้วยใช้การออกกำลังกายหรือใช้อุปกรณ์ต่าง ๆ เพื่อช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นและความแข็งแรงของเอ็นร้อยหวายที่อักเสบ เช่น การออกกำลังกายแบบเอกเซนตริก (Eccentric) ซึ่งเป็นการออกกำลังกายเกี่ยวกับการหดตัวของกล้ามเนื้อ อย่างการเกร็งขณะผ่อนแรงยกน้ำหนักจะทำให้กล้ามเนื้อบริเวณนั้นถูกยืดออก หรือการใช้อุปกรณ์ทางการแพทย์ชนิดต่าง ๆ เพื่อช่วยเสริมการทำหน้าที่ของเส้นเอ็น อย่างการใส่อุปกรณ์ในรองเท้าหรือบริเวณส้นเท้า เป็นต้น

 

3.             การผ่าตัด เมื่อผู้ป่วยรักษาด้วยวิธีต่าง ๆ แล้วอาการไม่ดีขึ้น หรือเสี่ยงต่อการเกิดเอ็นฉีกขาด แพทย์อาจต้องผ่าตัดเพื่อรักษาเอ็นร้อยหวายบริเวณดังกล่าว

 

ภาวะแทรกซ้อนจากเอ็นร้อยหวายอักเสบ

 

เอ็นร้อยหวายอักเสบอาจทำให้ผู้ป่วยมีปัญหาในการเดิน การออกกำลังกาย เส้นเอ็นและกระดูกข้อเท้าอาจใช้งานไม่ได้ หรือหากมีอาการรุนแรงอย่างเอ็นร้อยหวายฉีกขาด ผู้ป่วยอาจต้องเข้ารับการผ่าตัดเพื่อรักษา ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการแทรกซ้อนอื่น ๆ หลังการผ่าตัดเอ็นร้อยหวายด้วย เช่น ภาวะเลือดออกในเนื้อเยื่อ หรือภาวะหลอดเลือดดำอุดตัน เป็นต้น

 

การป้องกันเอ็นร้อยหวายอักเสบ

อาการเอ็นร้อยหวายอักเสบอาจยังไม่มีการป้องกันที่แน่ชัด แต่อาจลดความเสี่ยงได้ด้วยการปฏิบัติตามวิธีดังต่อไปนี้

1.             ยืดเหยียดร่างกายในตอนเช้าทุกวัน เพื่อยืดกล้ามเนื้อน่องและเอ็นร้อยหวาย โดยอาจทำก่อนหรือหลังออกกำลังกายก็ได้ และควรอบอุ่นร่างกายหรือยืดกล้ามเนื้อก่อนออกกำลังกายเสมอไม่หักโหมออกกำลังกายอย่างหนักเกินไป หรือหากมีอาการปวดระหว่างที่ออกกำลังกายก็ควรหยุดพัก

2.             ออกกำลังกายสร้างกล้ามเนื้อส่วนน่อง เพื่อเพิ่มความเเข็งแรง ลดความตึงเครียดของเอ็นร้อยหวาย และช่วยให้สามารถออกกำลังกายได้ดีขึ้น

3.             เล่นกีฬาหลาย ๆ ชนิดสลับกันไป เพื่อลดความตึงเครียดและแรงกระทบบริเวณเส้นเอ็น

4.             เลือกรองเท้าให้เหมาะสมและรองรับอุ้งเท้าได้ดี ส่วนผู้ที่ใส่ส้นสูงอาจค่อย ๆ ลดระดับความสูงของส้นทีละน้อย และไม่ควรใช้รองเท้าคู่เดิมนานเกินไป

 

 

แพทย์ให้พักรักษาตัวควรพักเต็มที่นะครับ

อย่างฝืด

อย่าแอบไปฉีดยา

เพราะเวลาขาด ต้องผ่าตัดซ่อม ต้องAugmentation(เอาเอ็นข้างๆมาเสริม) จะดูหนา แล้วต้องใส่เฝือกเหยียบขาเดินลำบาก ต้องมาปรับเฝือกทุก2สัปดาห์ รวมเวลาสามเดือนจึงจะเดินได้

+พักรอเวลาซ่อม 6-12Weeks

+อาหารที่จำเป็นในการซ่อม collagen

โปรตีน(อาจจะcollagen supplyment ถ้ามีเงิน)

Vitamin K (K2 ได้ยิ่งดี)

Vitaminอื่น เช้น B6 B2 VitC

+นวด ใช้น้ำมันหรือครีมอะไรก็ได้ น้ำมันมะพร้าวทำให้ fibroblast เรียงตัวดีที่สุด

+oxygenation อากาศบริสุทธิ์ หรือ การหายใจลึกอยู่เสมอ ช่วยเปลี่ยน fibrous tissue เป็น fiber tendon

+ยืดเส้น แรงดึง เกิดประจุบวก ทำให้เป็นfiber tissue

-ห้ามฉีด steroid ทำให้ tendon ที่เหลืออยู่ขาดหมด

ไม่ควรกิน steroid จะยับยั้งขบวนการ

-การกิน NSAIDs ยั้บยั้งขบวนการให้ช้าลงไปอีก

ถ้าปวดควรกินยาแก้ปวดแล้วพัก

-การรับแรงมากเกิน เช่นวิ่ง กระโดด เดินมาก อาจทำให้ tendon ที่เหลือขาดอีก จึงเหมือนโรคมันเรื้อรัง

± การรักษาที่อยู่ระหว่างการวิจัย มีมาก เช่น การฉีด stem cell, การฉีด PRP (Platelet Rich plasma) ผลยังไม่ชัด อาจมีภาวะแทรกซ้อน มีความเสี่ยง ควรชั่งใจให้ดี

-ฝั่งเข็มผลการศึกษาในวงการแพทย์ยอมรับแค่เพียงลดความเจ็บปวด

แต่ก็พยายามยืดกล้ามเนื้อ เเละทำกายภาพหรือฝังเข็มได้

ไม่มีความคิดเห็น: