วันอังคารที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2564

ครูบาอาจารย์-วันครู

 16 มค. วันครู

ในชีวิตคนๆหนึ่ง มีบุคคลที่เป็นครูบาอาจารย์มากมายนัก เริ่มแต่บุพการี ที่ให้เรากำเนิด สั่งสอนและเลี้ยงดู ต่อมาก็ครูบาอาจารย์มากมายในชีวิต ทั้งด้านดีๆและด้านตรงข้าม เราล้วนตามหาความหมายของชีวิต บ้างเป็นเงินทอง บ้างเป็นชื่อเสียงฯ แต่มีบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ที่ทรงเป็นพระบิดาและครูบาของชนชาวไทย และพระหลวงตาที่เปรียบเสมือนพ่อแม่ครูบาอาจารย์ที่สำคัญยิ่งในชีวิตนี้ หนทางที่ท่านชี้แนะตลอดเวลาที่ปฏิบัติภาวนากับท่าน แม้มิอาจต่อเนื่องตลอดเส้นทาง แต่ก็ได้รับแนวทางที่เมตตาชี้แนะไว้ประดับใจ ทางเดินที่เลือกเดินต่อไปนี้แม้มิยิ่งใหญ่มากมายแต่ก็คงยืดยาวและทุกข์ทนทรมาณ ท่านจึงบอกให้เลิกมองกลับไปด้านหลัง เพียงมุ่งก้าวเดินไปข้างหน้า สะสางการงานที่ยังเหลืออยู่ก็เพียงพอแล้ว กราบระลึกในพระคุณ คุณครูผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชาทั้งหลายทั้งมวลให้แก่เราในชิวิตนี้ ขอบุญกุศลใดที่กระผมได้กระทำไปทั้ง กาย วาจา ใจ ตลอดเวลาที่ผ่านมาในชีวิตนี้ โปรดดลบันดาลให้คุณครูทุกท่านจงมีความสุขทั้งกายใจตลอดไป กระผมจะขอระลึกและพยายามตอบแทนพระคุณครูบาอาจารย์ทุกท่านสุดความสามารถที่กระทำได้ตลอดไป
To Sir With LOVE
With Love and Respect,
To all the teachers who taught me;
To be the Physician from the heart,
And understand my responsibility;
To the Human society.






wisdom

 WISDOM

" IF YOU DEEPLY OBSERVE,
EVERYTHING IS YOUR TEACHER. "
ในช่วงเวลาขาลงของชีวิต พวกเราบางคนกำลังค้นหาหนทางในการดำเนินชีวิตอย่างมีความสุขตามที่ต้องการอยู่ บทความนี้เป็นตัวอย่างหนึ่งที่อาจทำให้เราได้ข้อคิดอะไรดีๆในการใช้ชีวิตต่อไป อ่านแล้วคิดถึงคำครูบาอาจารย์ที่ให้มองภายนอก แล้วพิจารณาย้อนเข้ามาดูภายใน เพื่อที่จะเรียนรู้สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ ตัวเอง เข้าใจให้ได้ว่า สิ่งยิ่งใหญ่คือใจนี้เอง เราจะสุขหรือทุกข์อยู่ที่ใจดวงนี้นี่เอง และความสุขพื้นฐานที่แท้จริงของมนุษย์คือการเสียสละตนทั้งกายและใจนี้เพื่อสร้างสิ่งอันเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น เป็นการพัฒนาจิตใจของตนเอง เพิ่อสามารถพบความสุขในใจของตน ดังเช่น CEO - John Donahoe
เมื่อ CEO Nike หยุดงานไป 1 ปีหลังจาก หมดไฟในการทำงาน และต้องการค้นหาคำตอบให้ชีวิต เราลองมาคิดเล่นๆ ว่า ถ้าเราสามารถหยุดงานได้ 1 ปี เราจะเอาเวลานั้นไปทำอะไร
John Donahoe ซึ่งปัจจุบันคือ CEO ของ Nike เคยอยู่ในจุดที่ทำงานแบบ Non-stop มา 30 ปี และก้าวไปถึงการดำรงตำแหน่ง CEO ของบริษัทยักษ์ใหญ่หลายบริษัทติดต่อกัน (PayPal, eBay, ฯลฯ) จนเขารู้สึก เบื่อจากการทำงาน
ไม่ใช่แค่ระดับ CEO นะครับ พนักงานทุกคนเป็นได้เหมือนกันหมด
เขาต้องการที่จะ “หยุด”
.
“หยุด” ในที่นี้หมายถึงหยุดไปสำรวจตัวเองหนึ่งปี แล้วจะกลับมาคิดอีกทีว่าจะเอาอย่างไรต่อกับชีวิต
ผมคิดว่าเราหลายคนก็คงเคยอยู่ในภาวะคล้ายๆ แบบนี้ เหนื่อย ตะบี้ตะบันทำงานจนไม่ได้กลับมาสำรวจตัวเองว่าต้องการอะไรกับชีวิต หรืองานเอาเวลาของเราไปหมดจนรู้แต่เรื่องงาน แต่เรื่องเดียวที่ไม่รู้คือเรื่องของตัวเองและก็คงอยากหยุดพักนิ่งๆ
John Donahoe ตอนที่อายุ 55 ปี ตัดสินใจหยุดงานหนึ่งปี และใช้เวลาระหว่างหยุดนั้นไปกับการเดินทางไปพูดคุยกับผู้คนมากมายเพื่อหาคำตอบให้กับชีวิตว่า อะไรคือสิ่งสำคัญในการใช้ชีวิต อะไรคือการใช้ชีวิตที่ทำให้เรายังมีความหมาย เขาเรียกการเดินทางครั้งนั้นว่า “Wisdom Tour” ครับ
แล้วเขาได้คำตอบอะไรกลับมา
1. John Donahoe บอกว่า เขานึกภาพตัวเองไม่ออกเลยว่าจะใช้ชีวิตอย่างไรในอีก 10 ปีข้างหน้า ตอนที่เขาอายุ 65
วิธีการหาคำตอบของเขาก็คือ งั้นลองไปคุยกับคนที่อายุ 65+ ว่าเขาใช้ชีวิตกันอย่างไรให้มีคุณค่า เมื่อ John Donahoe ได้คุยกับคนอายุมากกว่าเขา ซึ่งหลายคนเกษียณมาแล้วหลายปีด้วยซ้ำ แต่คนเหล่านั้นมีความสุข ยังเต็มไปด้วยพลังและไม่เคยหยุดนิ่ง และรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า บทสนทนากับผู้อาวุโสกว่าทำให้เขาเรียนรู้ว่า-“บทเรียนข้อแรกที่ผมได้คือ ทัศนคติสำคัญที่สุด”
“เมื่อเราแก่ลง ผมเราจะหงอกและร่วง เข่าเราจะเสื่อม และมีสัญญาณมากมายที่บอกเราว่าเราไม่เหมือนเดิมแล้ว เราทุกคนเป็นแบบนั้น แต่สมองของเราไม่จำเป็นต้องแก่ตามไปด้วย”
มีคำพูดหนึ่งของ Jim Collins นักเขียน หนึ่งในบุคคลที่เขาได้มีโอกาสคุยอย่างจริงจังในช่วงหนึ่งปีแห่ง Wisdom Tour ที่ John จำได้ไม่ลืม เขาบอกว่า
“ตอนที่คุณอายุ 50-60 หรือ 70 ควรเป็นช่วงชีวิตที่เต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์และใช้ชีวิตได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด เพราะช่วงนั้นคุณมีภูมิปัญญา มีประสบการณ์ชีวิตแล้ว และคุณยังมีอิสระที่จะเอาภูมิปัญญาและประสบการณ์ที่ผ่านมาของคุณไปใช้ทำในสิ่งที่คุณอยากทำ”
เห็นวิธีคิดของเขาไหมครับ แทนที่จะมองว่าอายุที่มากขึ้นเป็นความร่วงโรย แต่เขาเปลี่ยนใหม่เป็นมองว่าอายุมากขึ้นเท่ากับมีประสบการณ์มากขึ้น สะสมภูมิปัญญามาได้เยอะขึ้น และสามารถเอาไปใช้ทำอะไรอย่างที่เราอยากทำได้ก็ได้ ไม่ได้มองว่าวัยเป็นอุปสรรค
เราจะเป็นแบบไหนอยู่ที่ทัศนคติของเราเลยครับ ให้ทัศนคติที่ดีนำทางเรา
ความเหี่ยวก็แค่ “ริ้วรอยทางประสบการณ์” แต่ชีวิตที่ปราศจากประสบการณ์นี่สิ...น่าเสียดายเวลาที่ผ่านมานะครับ
เอาน่า...เราทุกคนก็ต้องมีอายุมากขึ้นกันทั้งนั้น แทนที่จะบอกว่าตัวเอง “แก่ขึ้น” ให้ลองบอกตัวเองว่า เรากำลัง “มีประสบการณ์มากขึ้น” และ “มีภูมิปัญญา” มากขึ้น --- มีกำลังใจขึ้นมาทันที
แต่ถ้าอายุมากขึ้น แต่ดันไม่มีประสบการณ์กับภูมิปัญญา ทีนี้ล่ะ...เหลือแต่ความแก่อย่างเดียวแล้วนะครับ
ลองสนุกกับตั้งโจทย์การใช้ชีวิตในวันที่อายุมากขึ้นใหม่ว่า
เราจะใช้ชีวิตในแบบที่ถ้าตัวเราในวัยเด็กกว่านี้มาเห็นแล้วต้องบอกว่า “เฮ้ย! พี่โคตรเจ๋งเลยว่ะ”
แล้วเดี๋ยวลองดูสิครับว่า เราจะพาชีวิตไปอยู่จุดไหน
2. บทเรียนต่อมาที่เขาได้เรียนรู้ใน Wisdom Tour ก็คือ หนึ่งในวิธีการที่ช่วยรักษาพลังงานในชีวิตให้แอคทีฟอยู่เสมอก็คือ การอยู่กับคนรุ่นใหม่หรือคนที่อายุน้อยกว่าเราบ้าง
John Donahoe เล่าว่าผู้อาวุโสท่านหนึ่งบอกเขาว่า “รู้ไหมว่าผมทำอย่างไรถึงได้ยังมีชีวิตชีวาแบบนี้ เพราะผมเอาตัวเองไปอยู่กับคนที่เด็กกว่า เวลาที่ผมไปตีกอล์ฟกับคนรุ่นเดียวกัน สิ่งที่เราทำคือการบ่นว่าวงสวิงเราไม่ได้เรื่องเลย หรือไม่ก็แข่งกันโม้ว่าไวน์แดงที่ดื่มมาเมื่อคืนของใครเจ๋งกว่ากัน ซึ่งนั่นทำให้ผมรู้สึกแก่มาก ผมเลยชอบอยู่กับคนที่อายุน้อยกว่า”
John บอกว่า วิธีการที่ผู้อาวุโสเหล่านี้ทำเพื่อเอาตัวเองไปอยู่กับคนที่เด็กกว่าคือ การไปเป็นโค้ชหรือเมนทอร์ให้กับคนรุ่นใหม่ และการสร้างสิ่งแวดล้อมในการทำงานให้มีคนรุ่นใหม่อยู่ในทีม มันคือการแลกเปลี่ยน ประสบการณ์กัน คนรุ่นใหม่ได้เรียนรู้จากคนรุ่นเก่า ขณะเดียวกัน คนรุ่นเก่าก็เรียนรู้จากคนรุ่นใหม่ ยิ่งเปิดโลกให้กว้างขึ้นกว่าเดิม ทุกคนได้ประโยชน์หมด
และกลับไปที่เรื่องเดิมครับว่า ให้ทัศนคติที่ดีนำทางให้เรา นั่นแปลว่า เราก็ต้องเปิดใจยอมรับความแตกต่างระหว่างเรากับคนรุ่นใหม่ ถ้าเราคิดว่าตัวเองเจ๋งแล้ว แน่แล้ว น้ำเต็มแก้วแล้ว เราก็จะไม่เปิดรับความคิดเห็นหรือไอเดียดีๆ ที่คนรุ่นใหม่มีแล้วเป็นประโยชน์
สิ่งที่ผมคิดว่าซ่อนอยู่ในบทเรียนที่เขาบอกก็คือ เอาตัวเองไปอยู่กับคนที่แตกต่างกับเราบ้างเพื่อเรียนรู้จากเขา และเราเองก็อาจจะเป็นประโยชน์กับคนอื่นที่แตกต่างกับเราได้เหมือนกัน
ที่สำคัญ เอาตัวเองไปอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่จะทำให้เรามีพลังดีๆ อยู่ตลอด เราจะได้รับพลังนั้นไปด้วย คำถามก็คือ สิ่งแวดล้อมที่คุณอยู่เป็นแบบไหนครับ
และสิ่งแวดล้อมนั้นกำลังบ่มเพาะให้คุณเป็นคนแบบไหน
ใช่คนแบบที่คุณอยากเป็นอยู่ไหมครับ
3. บทเรียนข้อที่สามที่เขาได้รับก็คือ การสร้างความหมายให้กับสิ่งที่เราทำอยู่ให้กลายเป็นสิ่งสำคัญ แล้วเราจะมีแรงผลักดันในการทำมันให้มีความหมายได้
“หาสิ่งที่ทำให้ชีวิตมีความหมาย และสร้างผลกระทบในทางที่ดีให้กับคนอื่น ไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องใหญ่โต แต่ทำทุกสิ่งที่เราทำอยู่ให้เป็นสิ่งที่มีความหมาย”
หลังจากหยุดพักไป 1 ปี หนึ่งในเหตุผลที่ทำให้เขาตัดสินใจรับตำแหน่งเป็น CEO ที่ Nike ทั้งที่เขาเองโตมากับการเป็น CEO ในบริษัทสายเทคโนโลยีมาตลอดก็คือ - เขารู้สึกว่าโลกในขณะนี้เต็มไปด้วยการแบ่งแยก กีฬาเป็นเพียงไม่กี่สิ่งที่หลอมรวมให้คนอยู่ร่วมกันได้ ไม่ว่าจะในระดับประเทศ ระหว่างประเทศ หรือแม้กระทั่งคนที่แตกต่างกันสุดขั้วก็สามารถหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวได้เมื่อมีกีฬา - เพราะฉะนั้น เขารู้สึกว่า นี่เป็นเวลาที่โลกต้องการกีฬามากกว่าช่วงเวลาไหน ๆ ในประวัติศาสตร์
นั่นคือการหาความหมายให้กับงานที่ทำอยู่ งานที่เขาทำอยู่ไม่ได้ขายอุปกรณ์กีฬา แต่เขากำลังทำงานเพื่อทำให้กีฬาหลอมรวมสังคมที่แตกแยกให้กลายเป็นสังคมที่ดีขึ้น เขาไม่ได้เป็น CEO ที่ขายรองเท้ากีฬา แต่เป็น CEO ของบริษัทที่เชื่อว่าจะใช้การเล่นกีฬาทำให้โลกดีขึ้นได้
ระหว่างคิดว่าจะขายรองเท้าอย่างไรให้ได้มากกว่าเดิม กับคิดว่าจะทำอย่างไรให้คนเล่นกีฬามากขึ้น สังคมจะได้แตกแยกน้อยลง โลกจะได้ดีขึ้นกว่าเดิม ผมคิดว่าแรงผลักดันในการอยากทำงานของเราคงต่างกัน
แบบแรกทำให้เราตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกว่า ฉันตื่นมาขายรองเท้า
แบบที่สองทำให้เราตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกว่า ฉันตื่นมาทำให้โลกดีขึ้น
จะเป็นเรื่องไหนก็ตามที่เราทำอยู่ ถ้าเราใส่ความหมายให้มัน เราจะรู้สึกว่ามันเป็นสิ่งสำคัญที่เราจะใส่ใจ ตั้งใจ และทำมันให้ออกมาดี
สาเหตุหนึ่งที่ทำให้คนรู้สึก Burnout ก็เพราะเขารู้สึกว่างานที่ทำไม่มีความหมาย รู้สึกว่าตัวเองไม่มีความสำคัญในที่ทำงาน ไม่รู้ว่าทำงานไปเพื่ออะไร แต่ถ้าเราให้ความหมายกับการตื่นขึ้นมาทำงานของเราว่า เรากำลังตื่นขึ้นมาด้วยเป้าหมายบางอย่างที่ไม่ใช่แค่ทำมันไปเพื่อให้ผ่านไปอีกวัน
แต่ละวันเราคงตื่นขึ้นมาแล้วมีความหมายนะครับ
4. ประเด็นสำคัญของบทความนี้คงไม่ได้อยู่ที่ว่า ให้เราหยุดงานไปหนึ่งปีเพื่อไปหาคำตอบให้ชีวิตนะครับ เพราะเอาเข้าจริง แต่ละคนคงมี “เงื่อนไข” ในชีวิตที่ต่างกัน ซึ่งทำให้การที่จะหยุดงานไปหนึ่งปีโดยไม่มีรายได้เข้ามาเลย แล้วยังอยู่ได้เป็นไปได้ยาก (ถ้าทำได้แปลว่าต้องวางแผนทางการเงินมาดีมากจนมี Passive income มากพอเลยล่ะครับ --- ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่น่าทำ และถ้ามีเป้าหมายกับวินัยที่ดีก็เป็นไปได้)
แต่สิ่งที่ผมชอบวิธีของ CEO Nike ก็คือ การที่เขาไปคุยกับคนมากมายเพื่อหาคำตอบที่เขาสงสัยในชีวิต เพื่อเรียนรู้ว่าแต่ละคนได้บทเรียนอะไรจากการใช้ชีวิตบ้าง และเอาบทเรียนจากคนอื่นที่เขาได้รับมาจากบทสนทนานั้นกลับมา “สำรวจ” ตัวเอง นั่นเป็นเพราะเขาเชื่อว่า ทุกคนมีเรื่องราวที่เป็นประโยชน์ และเราสามารถเรียนรู้จากพวกเขาได้
งานของผมในฐานะนักสัมภาษณ์มีสิ่งหนึ่งที่ผมชอบมาก นั่นคือการได้มีโอกาสไปนั่งคุยกับคนที่มีประสบการณ์ชีวิตจากหลากหลายวงการ เพื่อสำรวจว่าเขาใช้ชีวิตอย่างไร เขาผ่านประสบการณ์อะไรมาบ้าง เขาผ่านช่วงเวลาเหล่านั้นมาได้อย่างไร และที่สุดแล้วเขาได้เรียนรู้อะไรบ้างที่จะเป็นประโยชน์ที่ส่งต่อให้คนอื่นได้
คำถามสุดท้ายที่ผมมักถามคนที่ผมสัมภาษณ์ก็คือ “อะไรคือ 3 บทเรียนที่คุณได้จากการใช้ชีวิต และอยากส่งต่อบทเรียนนั้นให้เป็นประโยชน์กับคนอื่น”
แน่นอนว่าในชีวิตของคนเราคงมีมากกว่า 3 บทเรียน แต่ผมขอแค่ 3 บทเรียนที่เขาคิดว่าจะเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น และทุกครั้งผมมักจะได้รับคำตอบดีๆ ที่เอาไปใช้ประโยชน์กับชีวิตได้เสมอ
ผมคิดว่า CEO Nike ก็คงค้นพบความลับแบบเดียวกันกับที่ผมได้เจอ นั่นคือ คนที่อยู่รอบตัวเราทุกคนเป็น “ครู” ของเราได้หมด ไม่ว่าจะเป็นคนในครอบครัว คนในที่ทำงาน เพื่อน ฯลฯ การใช้ชีวิตของพวกเขาเป็นบทเรียนให้เราได้หมด ทั้งในเรื่องที่ดีและไม่ดี
คนแต่ละคนเป็นเหมือนตำราชีวิตแต่ละเล่มที่เอาไว้ให้เราศึกษา เรียนรู้ผ่านการใช้ชีวิตของเขา แล้วสุดท้าย เราสามารถเลือกได้ว่าจะเอาบทเรียนเรื่องไหนมาใช้กับชีวิตเราได้บ้าง
บางทีคำตอบในชีวิตของเราก็อยู่ในตัวของคนอื่น เมื่อเรียนรู้จากคนอื่นจึงได้เรียนรู้ตัวเอง ถ้าเราเรียนรู้จากคนอื่นได้ ทุกวันของเราก็คือการเดินทาง Wisdom Tour ไปในตัว
John Donahoe เล่าสามบทเรียนที่เขาได้จาก Wisdom Tour ของเขาแล้ว
คุณล่ะครับ อะไรคือสามบทเรียนที่คุณได้จากการใช้ชีวิต และอยากส่งต่อบทเรียนนั้นให้เป็นประโยชน์กับคนอื่น
Toffy Bradshaw
: Duangkaew foundation
Reference : Podcast “Leadership Next” with Alan Murray & Ellen McGirt : Nike’s CEO Went on Vision Quest : Here’s What He Learned





วันศุกร์ที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2564

31 Dec 2020-1 Jan 2021 ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่

  ยามเย็นของวันสิ้นปีโควิด19 พ.ศ.2563 ชายชราผู้หนึ่งนั่งมองกระแสคลื่นซัดสาดหาดทรายตั้งแต่พลบค่ำ น้ำทะเลเริ่มลดลงทำให้หาดทรายกว้างขึ้นจนเว้งว้างยิ่ง ความมืดปกคลุมเข้ามาแทนที่ แสงจันทร์อ่อนละไมสาดส่องลงมาจากท้องฟ้ายามพลบค่ำเช่นนี้ ชายชราเดินออกไปริมทะเลอันมืดมิด ขณะนั้นเขาก็สะดุดก้อนหินที่อยู่กลางผืนทรายล้มลง เขาลุกขึ้นมองหินก้อนใหญ่กลางผืนทรายที่แสงจันทร์ส่องผ่านเมฆดำก้อนใหญ่กลางทองฟ้ายามค่ำคืนอันเหน็บหนาว

ชายชราก้มมองหินก้อนใหญ๋และทรายเม็ดเล็กๆตรงหน้า อดีตของหินเหล่านี้ใยมิใช่ภูผาหินสูงใหญ่ตั้งตระหง่านท้าแดดลมฝน ชีวิตคนเราก็เช่นกัน แม้จะเคยมีชื่อเสียงยิ่งใหญ่เพียงใด กาลเวลาก็จะลบเลือนความยิ่งใหญ่จอมปลอมเหล่านั้นจนหมดสิ้น เสมือนเม็ดหินเม็ดทราย กลางหาดทรายแห่งนี้
เมื่อหันออกไปสู่ท้องทะเลกว้าง คลื่นลูกใหญ่กำลังทยอยซัดสาดมายังผืนทรายลูกแล้วลูกเล่า คลื่นลูกใหญ่ก่อตัวถาโถมสู่ฝั่งและสลายไปในผืนทราย คลื่นลูกใหม่เกิดขึ้นถาโถมทับคลื่นลูกเก่าลูกแล้วลูกเล่า ไม่มีคลื่นลูกไหนที่สามารถดำรงคงอยู่ตลอดไป ชีวิตผู้คนเราใยมิใช่เฉกเช่นกัน วันคืนเดือนปีผันผ่านไป ปีเก่าผ่านไป ปีใหม่ผ่านมา และ..ก็จะผ่านไปเช่นกัน ลาภยศชื่อเสียง เงินทอง ที่ผู้คนล้วนไขว่ขว้าหากันมาตลอดชั่วชีวิต สุดท้ายยังจะมีผู้ใดได้ครอบครองจริงไม่ สิ่งต่างๆในชีวิตที่อุตส่าห์แสวงหามานั้นก็ทยอยกันหมดค่าสิ้นค่าไป เมื่อเขาจากโลกนี้ไป สิ่งเหล่านี้ก็ได้แต่ลวงหลอกผู้คนให้แย่งชิงพวกมันไปครอบครองอีก วนไปวนมาไม่มีสิ้นสุด
หาดทรายนี้มีเม็ดทรายมากมายเหลือคณานับสุดท้ายแม้แต่เม็ดทรายยังอาจเปลี่ยนแปลงจนเป็นฝุ่นดินก็เป็นได้ เมื่อมองขึ้นไปบนท้องฟ้า ดวงดาวมากมายนับไม่ถ้วน แต่ต้องล้วนแกดับไปสักวัน ธรรมชาติก็เช่นนี้เอง วนไปมาไม่สิ้นสุด ชีวิตคนและสรรพสัตว์ทั้งหลายก็เช่นกัน แตกต่าง พลิกแผลง แตกต่าง ทั้งดีทั้งร้าย ทั้งสุขและทุกข์ มีชื่อเสียงมีนินทา มีสรรเสริญ มีสาปแช่ง มีร่ำรวยและยากจน สบสนวนไปไม่สิ้นสุด ในความแตกต่างนั้น สิ่งที่เหมือนกันคือความทุกข์ ชีวิตทั้งหลายนั้น สุดท้ายเป็นเช่นไร คงเสมือนขุนเขาตั้งตระหง่าน ท้าทายแดดลมฝน ที่วันนี้เหลือเพียงเม็ดทรายฝุ่นทุลีดิน แม้รู้ได้เช่นนี้ ผู้คนสัตว์ทั้งหลายใยยังแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น สร้างภาพ สร้างมายาหลอกลวงตนเอง หลอกลวงผู้อื่น ทำร้ายตนเอง ทำร้ายกันเองไม่สิ้นสุด ทั้งๆที่สิ่งเหล่านั้นหามีคุณค่าใดๆไม่ ล้วนจอมปลอม หลอกลวงทั้งสิ้น ชีวิตนี้มีคุณค่าอย่างไรเล่า? สรรพชีวิตทั้งหลายเกิดมาเพื่อสิ่งใด? ชายชราคิดทบทวนไปมาในใจ คำถามที่วิ่งวนไปมาในสมองนี้ตั้งแต่เล็กจนโต ......เราเกิดมาทำไม ? .....เพื่อสิ่งใดกันแน่นะ ?
สองพันกว่าปีก่อน ยังมีศาสดามหาบุรุษท่านหนึ่ง ถือกำเนินเกิดมาบนโลกใบนี้ ท่านเห็นความจริงตรงหน้าและตระหนักได้ว่า..ชีวิตล้วนมีทุกข์ ...ไม่มีแก่นสาร...จะหมดไปอย่างไร้ร่องรอย พระองค์ทรงหาหนทางหลุดออกจากวังวนแห่งความทุกข์นี้ และประทานหนทางนั้นไว้แก่พวกเราทุกๆคน ความจริง และหนทางที่พระองค์ทรงประทานชี้แนะไว้ให้เหล่านี้นั้น ก่อนที่พระองค์จะกำเนิดขึ้น และหลังจากที่ท่านจากไป ความจริงนี้ก็ยังจะเป็นอยู่เช่นนี้ตลอดไป
เมฆก้อนใหญ่ลอยเลื่อนผ่านไป บรรยากาศที่มืดมิดกลับสว่างขึ้นอีกครั้งด้วยแสงแห่งจันทรา สวยงาม สว่างนวลๆ ทำใ้ห้รู้สึกสงบ ร่มเย็นในใจยิ่งนัก ชีวิตคนเราก็เป็นเช่นนี้เอง มีมืด มีสว่าง สลับไปมา ไม่แน่นอน แต่ในคณะที่ผู้คนจำนวนมากล้วนแย่งชิงไขว่ขว้าหา ลาภ ยศ ชื่อเสียง สรรเสริญ สุข เงินทองฯให้แก่ตนเองนั้น พวกเราก็ยังมีโอกาสที่จะมอบ แบ่งปัน ความรัก ความสุข ความปรารถนาดี ให้แก่สรรพชีวิตที่เกิดมาในโลกใบนี้ พวกเรายังคงจะสร้างสาธารณประโยชน์ ช่วยเหลือเกื้อกูล ผู้ที่ตกทุกข์ได้ยาก ผู้เดือดร้อน ด้อยโอกาสในสังคม มอบความรัก ความเมตตา ความปรารถนาดี จากใจของเราสู่พวกเขาเหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็นญาติพี่น้องหรือไม่ก็ตาม ทุกคนล้วนเกิดมาเป็นเพื่อนกันในโลกที่ดูจะแสนโหดร้ายใบนี้ แต่ถ้าเราได้เริ่มทำแต่สิ่งดีๆให้กันและกัน โลกใบนี้ก็ดูจะสดใส สวยงามขึ้นได้จริงๆ ชีวิตของพวกเราก็จะมีคุณค่ายิ่งขึ้น ไม่ตายหายไปจากโดลกอย่างไร้ค่าไร้ราคาสำหรับชีวิตหนึ่งๆที่ได้เกิดมายังโลกใบนี้ ความรักที่มอบให้กัน ย่อมทำให้เกิดความสุข ทั้งผู้ให้และผู้รับ สิ่งดีๆเช่นนี้หรือไมนะที่ทำให้ชีวิตที่เกิดมานี้มีคุณค่าขึ้น? เสมือนแสงจันทร์ที่ส่องผ่านเมฆสีดำก้อนใหญ่บนฟ้ายามราตรีนี้ เมฆดำจะล่องลอยผ่านไปปล่อยให้แสงจันทร์แรมสองค่ำส่องท้องฟ้าและผืนหาดทรายเบื้อหน้าให้สว่างสงบอีกครั้ง
ใกล้สว่างแล้ว ชายชราเริ่มมองเห็นแสงเงินแสงทองจากขอบฟ้าทางทิศตะวันออก โลกก็เป็นเช่นนี้ มีกลางคืนที่มืดมิดและมีกลางวันอันเจิดจ้า ไม่เที่ยงไม่แน่นอน ชีวิตคนไม่มีใครตกอับทั้งชีวิต ไม่มีรุ่งโรจน์ตลอดไป เมื่อ
เผจิญความทุกข์ ความปวดร้าว ไม่สบายใจ จงรู้เถิดว่าสิ่งเหล่านั้นจะหมดไปสักวัน ฟ้าหลังฝนย่อยสวยงามเสมอ เมื่อพบความสุขสนุกสนานก็จงอย่าหลงระเริงไปเพราะวันเวลาเหล่านั้นอาจต้องจบลงเวลาหนึ่งเวลาใดก็ได้ ค่ำคืนอันมืดมิดด้วยเมฆหมอก บางครั้งมีแสงจันทร์ส่องมาได้บ้าง กำลังจะผ่านไป วันเก่าปีเก่าปีแห่งโควิดปี2563กำลังจะจากไป วันใหม่ปีใหม่2564กำลังจะเริ่มแล้ว แสงแรกของปีใหม่สัดสาดส่องมาต้ององค์พระพุทธรูปชายฝั่งทะเล สวยงามสงบอย่างผู้รู้ เจนจบในชีวิต และธรรมทั้งหลาย
ขอพระสัจธรรมจงเจริญรุ่งเรืองไม่รู้จบสิ้น ขอรักษาพระธรรมวินัยยิ่งชีวิต
ขอสรรพสัตว์ทั้งมวลจงพ้นทุกข์ พบความสุขอันนิรันดร์
ขอเพื่อนทุกๆท่านจงมีสุขกายสุขใจ สมหวังในชีวิตอันประกอบด้วยคุณค่าอันเปรียบประมาณมิได้ ความปรารถนาที่ดีงามประกอบด้วยธรรมจงสำเร็จทุกประการตลอดปีใหม่ 2564นี้ด้วยเถิด
ด้วยความรัก ความปรารถนาดีจากใจ
ฐิตรโส 1-1-2564



วันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2563

การสร้างอุโบสถ วัดนครทิพย์

 

การสร้างอุโบสถ วัดนครทิพย์
อุโบสถวัดนครทิพย์ ตำบลเตาปูน อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี
ออกแบบให้ร่วมสมัย เรียบง่าย สะดวกต่อการก่อสร้าง ออกแบบประยุกต์จากหลังเดิมที่มีอยู่ เป็นโบสถ์ ๒ ชั้น โดยคงโครงสร้างเดิมไว้ ปรับหลังคาให้สูงขึ้น เปลี่ยนทรงหลังคาใหม่ คงระเบียงโดยรอบของด้านบนไว้ เพิ่มเสารองรับ และเสริมความแข็งแรงของโครงสร้างเดิม ทำบันไดขึ้นอุโสถชั้นบน ๒ทาง จากด้านนอก ออกแบบประตูและหน้าต่างใหม่ ยังคงเอกลักษณ์ของความเป็นไทยที่เรียบง่ายไว้
📷 อุโบสถชั้นล่าง ใช้เป็นที่ปฏิบัติธรรม สวดมนต์ เจริญภาวนา ชั้นบนใช้ประกอบสังฆกรรม เช่น การอุปสมบท การลงฟังพระปาฏิโมกข์ ฯลฯ
ออกแบบโดย นายสุรพัฒน์ ตรีรัตน์วิชชา นายช่างเขียนแบบชำนาญงาน กองโบราณคดี กรมศิลปากร
ผู้รับผิดชอบโครงการ บริษัท ทีทีเค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ กลาสเวิร์ค จำกัด 


วันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2563

 10-13 ธค.63 ภาวนาสัญจร เมืองเก่าอยุธยา

วันหยุดยาวครั้งนี้ ครูจารย์บุญมีถ้ำเต่า ท่านเมตตา มาให้การอบรมปฏิบัติภาวนาพวกเรา ณ เมืองเก่ออยุธยาราชธานี ระหว่าง10-13ธค. วันที่10ธค.มีกิจกรรมปรับทัศนคติ เรียนรู้ประวัติศาสตร์พุทธศาสนาสมัยอยุธยา ช่วงบ่าย วันที่11ธค.เช้าลงทะเบียน8โมง ปฏิบัติภาวนาที่หอธรรม จนเย็นมีการภาวนานอกสถานที่ บริเวณองค์พระเจดีย์ จนเที่ยงคืน 12ธค.ตื่นตีสี่สวดมนต์ทำวัตรเช้า อบรมปฏิบัติภาวนาทั้งวันจนเที่ยงคืน 13ธค. หลังทานอาหารเที่ยง เก็บกวาดทำความสะอาดที่พัก/ที่ปฏิบัติธรรม เสร็จแล้วบ่ายมีพิธีปิดอบรม ถามตอบปัญหาการปฏิบัติภาวนา ก่อนจะแยกย้ายกันกลับไปปฏิบัติต่อในชีวิตของแต่ละคน ครูจารย์ทั้งสี่รูปเมตตามาพักที่ธรรมวิภาวัน และรับจังหันเช้า07.00น. ก่อนจะเดินทางกลับอุดรธานี
การอบรมปฏิบัติธรรม "ภาวนาสัญจร" ครั้งนี้ครูจารย์ท่านเมตตามาให้ความรู้ อบรมปฏิบัติภาวนาให้พวกเรานะครับ ครูจารย์ท่านมีกิจมากมายแต่ท่านก็ยังสละเวลามาให้พวกเรา อยู่ร่วมปฏิบัติภาวนากับเราตั้งแต่ตี4ถึงเที่ยงคืน หาครูบาอาจารย์เช่นนี้แทบจะไม่ได้แล้วนะครับ กรุณาให้ความสำคัญในการอบรมปฏิบัติธรรมครั้งนี้ด้วยนะครับ หลายๆคนอาจไม่ได้คิดว่าครูบาอาจารย์ท่านลำบากเพียงใด สำหรับธรรมบริกรทุกๆท่านก็ได้เสียสละแรงกาย แรงใจ กำลังทรัพย์ช่วยกันจัด "ภาวนาสัญจร" ครั้งนี้ขึ้น การเตรียมงานกว่าครึ่งปี มีปัญหาและอุปสรรคมากมายกว่าจะได้จัดกิจกรรมครั้งนี้ขึ้นได้ กรุณาตั้งใจให้สมกับที่ทุกคนพยายามที่จะส่งเสริมและเผยแผ่พระธรรมคำสอน แนวทางปฏิบัติภาวนา ขององค์พระบรมศาสดา ให้พวกเราได้ใช้เป็นแนวทางดำเนินชีวิตกันต่อไปนะครับ กราบอนุโมทนา ผู้เข้าอบรมไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้นครับ มูลนิธิดวงแก้วฯและธรรมบริกรทุกๆท่านชวยกันเสียสละแทนทุกท่านแล้วครับ ขอเพียงตั้งใจรับสิ่งดีๆและมีค่าที่สุดที่พวกเราจะมอบให้แก่กันได้ในครั้งนี่้ ให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ตัวท่านเอง เราทุกคนก็สุขใจแล้วครับ ด้วยความรัก ความปรารถนาดีจากใจ

ร่างจาริกบุญภาวนาสัญจร เมืองเก่าอยุธยา

10 ธ.ค. 63   วัดใหญ่ชัยมงคล

09.00น.       ธรรมบริกรกราบนมัสการท่านเจ้าอาวาสและคุณแม่สมจิตร

เสร็จแล้วช่วยจัดเตรียมสถานที่อบรมปฏิบัติธรรม

13.00น.       ทัศนศึกษา อยุธยา เมืองหลวงเก่า

 

ร่างกำหนดการทัศนศึกษาอยุธยา “พระพุทธศาสนาในกรุงศรีอยุธยา-เจดีย์สมัยอยุธยา”

13.00น. นัดพบกันที่หลังศาลากลางจังหวัดเก่า เตรียมขึ้นรถราง

            ขึ้นรถรางชมเขตอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา

            พร้อมวิทยากรบรรยายเกล็ดประวัติศาสตร์พุทธศาสนาในอยุธยา

            แวะชมวัดมหาธาตุ, วัดราชบูรณะ

            ลงรถที่วัดมงคลบพิตร นมัสการพระมงคลบพิตร

ทัศนศึกษาเจดีย์ วัดพระศรีสรรเพชญ์,วัดพระราม

เดินชมคุ้มขุนแผน  นมัสการศาลหลักเมืองพระนครศรีอยุธยา

เพื่อกลับไปขึ้นรถที่หลังศาลากลางจังหวัดเก่า

16.30น.           กลับวัดใหญ่ชัยมงคล เตรียมเข้าที่พัก

17.00น.                 เข้าที่พัก ทำสรีรกิจ เตรียมทำวัตรเย็น

19.00น.                 ปฏิบัติภาวนา ณ พระธาตุเจดีย์

11 ธ.ค. 63   ลงทะเบียน

08.00-09.30น.           ลงทะเบียนเข้าอบรม ณ ศูนย์ปฏิบัติธรรมวัดใหญ่ชัยมงคล(+ของใช้ส่วนตัว)

09.30-11.00น.           ปฐมนิเทศผู้เข้าอบรม รับศีลแปด (ใช้คู่มือ วัชรธรรมสถาน )

11.00-12.00น.           รับประทานอาหารกลางวัน

12.00-13.00น.           จัดเตรียมที่พัก เตรียมปฏิบัติภาวนาของตนเอง

13.00-14.00น.           เดินจงกรม

14.00-16.00น.           อบรมปฏิบัติภาวนา

16.00-18.00น.           ทำความสะอาดบริเวณสถานที่อบรมปฏิบัติธรรม+สรีรกิจ

18.00-19.00น.           เดินจงกรม

19.00-20.00น.           ทำวัตรเย็น

20.30-24.00น.           นั่งฟังธรรม ปฏิบัติภาวนา ณบริเวณพระธาตุเจดีย์

(+เต็นท์นั่ง+ผ้าห่ม+ผ้าปูนั่ง)

12 ธ.ค. 63   ปฏิบัติภาวนา

03.00น                        ตื่นนอน-สรีรกิจ

04.00-06.00น.          ทำวัตรเช้า-ปฏิบัติภาวนา

06.00-07.00น.           เดินจงกรม

07.00-09.00น.           รับประทานอาหาร พักผ่อน

09.00-11.00น.           ปฏิบัติภาวนา

11.00-13.00น.           รับประทานอาหารกลางวัน

13.00-14.00น.           เดินจงกรม

14.00-16.00น.           อบรมปฏิบัติภาวนา

16.00-18.00น.           ทำความสะอาดบริเวณอบรมปฏิบัติธรรม+สรีรกิจ

18.00-19.00น.           เดินจงกรม

19.00-20.00น.           ทำวัตรเย็น

20.30-24.00น.           นั่งฟังธรรม ภาวนาบริเวณพระธาตุเจดีย์

13 ธ.ค. 63   ปิดอบรม

03.00น                        ตื่นนอน-สรีรกิจ

04.00-06.00น.          ทำวัตรเช้า-ปฏิบัติภาวนา

06.00-07.00น.           เดินจงกรม

07.00-09.00น.           รับประทานอาหาร พักผ่อน

09.00-11.00น.           ปฏิบัติภาวนา

11.00-12.00น.           รับประทานอาหารกลางวัน

12.00-13.00น.           ทำความสะอาดที่พัก-เก็บของ

14.00-15.00น.           พิธีปิดการอบรม

กราบลาท่านเจ้าอาวาส/คุณแม่สมจิตร

 

 







ความเมตตาของพ่อแม่ครูบาอาจารย์


 ความเมตตาของพ่อแม่ครูบาอาจารย์

ตลอดเวลาสี่วันที่ครูจารย์บุญมีท่านเมตตาพวกเราไปให้การอบรมการปฏิบัติภาวนาในหลักสูตร "ภาวนาสัญจร" ณ วัดใหญ่ชัยมงคล อยุธยาราชธานี แม้แต่จะเป็นการอบรมปฏิบัติภาวนาระยะสั้น ที่แตกต่างจากการอบรม ณ วัชรธรรมสถาน เพราะเป็นการอบรมนอกสถานที่ ในสิ่งแวดล้อมใหม่ๆ และยังมีการไปภาวนา ณ องค์พระเจดีย์ในเวลากลางคืน จนถึงเที่ยงคืนอีกด้วย ถึงจะไม่ได้มีการห้ามมิให้ขยับเคลื่อนไหวร่างกายก็ตาม อย่างน้อยการนั่งภาวนาติดต่อกันสามสี่ชั่วโมงก็จะได้ประสบการณ์ตรงในการใช้ปัญญาแก้ไขเวทนาทั้งในและนอก ระเบียบปฏิบัติก็เหมือนๆกับวัชรธรรม แต่ก็มีคนผิดระเบียบ ตามใจตัวเองบ้าง แต่ก็คงเป็นไปตามอัตตาของเขา พวกเราก็พยายามช่วยกันเต็มที่แล้ว ธรรมบริกรทุกๆท่านจะว่าไม่เหนื่อยคงไม่ได้ อย่างไรก็ตาม ภาวนาสัญจรนี้นับว่าเป็นสิ่งดีๆครั้งหนึ่งในชีวิตนักภาวนา โดยเฉพาะได้ครูบาอาจารย์ผู้มาสอนคือท่านอาจารย์บุญมี ถ้ำเต่าอีกด้วย ครั้งนี้จัดในประเทศหลายๆคนจึงหลุดไปหน่อย สู้จัดต่างประเทศไม่ได้ สิ่งแวดล้อมช่วยด้วยครับ
กราบระลึกในพระคุณพ่อแม่ครูจารย์บุญมี ที่กรุณาพวกเราตลอดมา
ตลอดสี่ห้าวันที่ผ่านมานี้ ขณะที่ท่านกำลังอาพาธอยู่ มีการติดเชื้อทางระบบทางเดินหายใจมาก่อนประมาณเกือบหนึ่งสัปดาห์ และยังมีอาการปวดร่างกายอีกด้วย แต่ท่านก็ยังเมตตารับนิมนต์มาสอนให้พวกเราแม้แต่จำนวนคณะเรามีเพียงแค่30คนเท่านั้น ท่านบอกกับเราว่า ท่านเห็นความสำคัญในการปฏิบัติภาวนา ท่านเห็นประโบยชน์จึงเสียสละแรงกายแรงใจ ทุ่มเทเผยแผ่คำสอนของพระบรมศาสดา ดังที่พวกเราเห็นว่าท่านมักจะไปแสดงธรรมะปฏิบัติให้ผู้สนใจได้รับฟังอยู่เสมอๆ ท่านมักจะบอกเสมอๆว่าขณะฟังให้ภาวนาไปด้วย เพราะการฟังก็ทำให้จิตสงบและใช้ปัญญาพิจารณาตามไปได้อย่างดีอีกด้วย แต่การปฏิบัติภาวนา จะต้องกระทำอย่างต่อเนื่องจึงจะเห็นผลได้อย่างดี ผู้ปฏิบัติภาวนามักมีปัญหาข้อแรกนี้ คือไม่ปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง อีกข้อหนึ่งก็คือมีความเพียรย่อหย่อน ขาดวิริยะ มักจะบอกเสมอๆว่าปฏิบัติเองที่บ้านไม่ได้ ทำที่ที่ทำงานก็ยาก พอขาดซ้อมบ่อยๆก็เลยต้องเลิกกันไป การที่เราสร้างวัชรธรรม หรือจัด"ภาวนาสัญจร" ก็เป็นเพราะเหตุนี้ 1.คือจัดหาสถานที่/อาหาร/อากาศ สัปปายะให้ 2. คือ การจัดมาภาวนาร่วมกัน ในข้อกำหนด ระเบียบ ที่เคร่งครัดเพื่อให้เกิดความสัปปายะแก่ผู้อบรมปฏิบัติธรรม 3.คือมีพ่อแม่ครูอาจารย์ที่เมตตามาเป็นหลักในการอบรม ครูจารย์ที่สามารถสอนธรรมะปฏิบัติ ซึ่งท่านได้มีประสบการณ์ตรงผ่านมาแล้ว ได้เห็นได้รู้ชัดเจนจนสอนได้แล้ว มาเป็นครูบาอาจารย์ให้ความรู้สั่งสอนอบรมพวกเรา
ทั้งสามข้อนี้ ข้อสามสำคัญที่สุด ครูบาอาจารย์หลายๆท่าน สอนได้แต่ทำไม่ได้ บางท่านไม่เห็นประโยชน์ของการอบรมปฏิบัติภาวนาเป็นกลุ่ม หลายๆท่าน บางท่านไม่อาจทนรับภาระที่ต้องดูแลผู้ปฏิบัติต่อเนื่องทั้งวันทั้งคืน แม้เพียงแค่สองสามวันก็ตาม การที่มีครูบาอาจารย์อย่างพระอาจารย์บุญมี เมตตามาสอนเรานั้น นับว่ามีค่ากว่าเพชร กว่าทอง และก็คงจะเป็นเช่นนี้ไปได้อีกไม่นาน นับวันครูจารย์ท่านก็จะมาสอนเราได้ลำบากขึ้นๆ เพราะงานนี้เหนื่อและหนักมาก เพราะที่วัชรธรรมสถานเองปัจจุบันครูบาอาจารย์ที่เมตตามาสอนก็มีเพียงสามท่านเท่านั้นเอง ถ้าไม่มีครูบาอาจารย์ท่านอื่นเมตตามาสานงานเหล่านี้ต่อไป กิจกรรมเช่นนี้จะเป็นเช่นไร มิอาจคาดคิดได้จริงๆครับ
ในภาพอาจจะมี หนึ่งคนขึ้นไป, ผู้คนกำลังนั่ง และสถานที่ในร่ม
คุณ, Kanchana Limthawonkit, ปิโยรส ปรียานนท์ และคนอื่นๆ อีก 88 คน
ความคิดเห็น 22 รายการ
แชร์ 7 ครั้ง
ห่วงใย
ห่วงใย
แสดงความคิดเห็น
แชร์