ความลังเลสงสัย
หมายถึง: ความลังเล, ความไม่แน่ใจ, ความสงสัย, ความเคลือบแคลงในกุศลธรรมทั้งหลาย, ความลังเลเป็นเหตุไม่แน่ใจในการดำเนินชีวิตของตน ความคิดซัดส่ายตลอดเวลา ไม่สงบนิ่งอยู่ในความคิดใด ๆ สงสัย
กังวล กล้า ๆ กลัว ๆ ไม่เต็มที่ ไม่มั่นใจในข้อปฏิบัติต่างๆ
ในการปฏิบัติภาวนา มักมีความลังเลสงสัยเกิดขึ้นเสมอๆ
สาเหตุใหญ่ๆน่าจะเกิดจากการขาดศรัทธา
ความศรัทธา-ศรัทธาในกฎแห่งกรรม ศรัทธาในพระพุทธศาสนาและพระรัตนตรัย
เป็นพื้นฐานในการปฏิบัติภาวนาที่ดี แต่ศรัทธาในพระพุทธศาสนานั้นอาจแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับในศาสนาอื่นๆ
เพราะศรัทธาในพระพุทธศาสนาต้องมีปัญญาเป็นองค์ประกอบ และต้องมีแนวทางการปฏิบัติไปสู่หลักธรรมข้ออื่นๆได้แก่
วิริยะ,สติ,สมาธิ,จนถึงปัญญา เพราะศรัทธาจึงนำไปสู่การพากเพียรปฏิบัติภาวนาตามคำสอนขององค์พระศาสดา
มีสติตามรู้ภายในกายในใจ จนความจริงที่ยิ่งใหญ่ปรากฏอยู่เบื้องหน้า
จนทราบว่าทุกอย่างที่เรายึดถือว่าเป็นตัวเราของเรานั้นมิได้มีอยู่จริง
เป็นเพียงสิ่งสมมุติที่ทำให้เราอยู่ร่วมกันในสังคมนี้ได้เท่านั้น
ปัญญา-ที่ทำให้ทราบถึงเหตุที่ทำให้เกิดผลในสิ่งต่างๆและผลของเหตุเหล่านั้นที่จะหมดไปแตกดับไปเมื่อเหตุนั้นหมดลง
ปัญญาที่จะทำให้เราทราบถึงหนทางแห่งการดับทุกข์ รู้จักทุกข์ และเหตุที่ทำให้มันเกิดขึ้น
สำหรับผู้ปฏิบัติที่มักเกิดความลังเลสงสัย
ไม่ว่าจะเกิดจากสงสัยในคำสอน สงสัยในครูบาอาจารย์ ฯลฯ
ในเบื้องต้น การใช้-โยนิโสมนสิการ คือการใช้ปัญญาพิจารณาด้วยเหตุด้วยผลในข้อธรรมนั้นๆ
ว่าถูกต้องเหมาะสม ควรแก่การนำไปประพฤติปฏิบัติ หรือพิสูจน์หรือไม่อย่างไร
การเชื่อหรือศรัทธาโดยปราศจากปัญญาปราศจากเหตุและผล
อาจนำมาซึ่งความผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงได้เสมอเช่นในลัทธิต่างๆที่ให้ผู้คนกระทำความผิด
ผิดศีลธรรม ประเพณี และคุณความดีต่างๆ ที่สำคัญนอกจากการพิจารณาเองแล้วยังต้องมีกัลยาณมิตร
เช่นพ่อแม่ครูบาอาจารย์ที่คอยชี้แนะแก้ไข ตอบปัญหาข้อขัดข้องต่างๆให้เราจนกระจ่างชัด
การปฏิบัติภาวนา เราจึงต้องมีครูบาอาจารย์คอยแนะนำเสมอ กัลยาณมิตรที่สำคัญสุดคือพระบรมศาสดา
ที่ทรงค้นพบสัจจธรรมและนำมาชี้แจงแสดงทางเดินแห่งการดับทุกข์ให้แก่เราทุกคน
ความลังเลสงสัยอาจมีได้หลายประการเช่น
1. สงสัยเพราะตั้งใจที่จะปฏิบัติให้ถูกให้ได้ผลการภาวนาที่ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม
ขอให้ครูบาอาจารย์ชี้แนะให้แก้ไขข้อผิดพลาดต่างๆของตน เช่นนี้แม้เป็นการลังเลสงสัย
แต่ก็ยังอยู่ในมรรค
2. สงสัยเพราะติดอยู่ในข้อปลีกย่อยต่างๆ
พยายามหาเหตุผลมาคัดค้าน ต่างๆนาๆ โดยมิทำประโยชน์ใดๆให้เกิดขึ้นเลย
ท่านว่าบุรุษผู้ต้องศร พยายามหาว่าศรนั้นทำมาจากอะไร
แต่ละเลยการรักษาตนให้พบจากพิษของศรนั้นๆ
3. สงสัยเพราะความอยากรู้ในความจริงอย่างไม่สิ้นสุด
อาจเกิดจากการที่เป็นผู้ปรารถนาพุทธภูมิที่ต้องศึกษาค้นคว้าหาความจริงให้ปรากฏแก่ตนเอง
แม้ได้ยินได้ฟังมาแล้วก็ต้องพิสูจน์ลึงลงไปๆให้มากยิ่งขึ้นจนความจริงแห่งสัจจธรรมสามารถมาแสดงอยู่เบื้องหน้าตนเท่านั้น
สำหรับผู้ปฏิบัติภาวนา
เมื่อเดินมาตามทางนี้แล้ว
ขอให้มีความเชื่อมั่นในพระรัตนตรัย เชื่อในคำสอนได้แก่
ไตรสิกขา-คือศีล,สมาธิและปัญญา เพราะศีล-เป็นการควบคุมกายและวาจา
ไม่ทำให้เกิดทุกข์โทษเวรภัยต่อกันและกันในสังคม ที่สามารถเข้าใจและยอมรับได้อย่างง่ายดายด้วยหลักเหตุและผล,
สมาธิ-การที่ทำให้จิตใจตั้งมั่น มีประโยชน์ต่อเราได้อย่างแท้จริงทั้งก่อให้เกิดความสุขสงบของจิตใจ
การที่สามารถมองย้อนกลับไปดูในจิตใจตน ให้เห็นการกระทำทางกาย-วาจา-ใจของเราว่าถูกต้องเหมาะสมเช่นไร,
ปัญญา-ปัญญาที่เราจะได้เห็นจริงๆว่าความทุกข์ที่เกิดขึ้นกับพวกเราทั้งหลายนั้นเกิดจากสิ่งใด
และจะก้าวเดินไปเช่นไรจึงจะไปสู่การพ้นทุกข์
สิ่งเหล่านี้สามารถประจักษ์แก่เราได้เสมอเมื่อเราน้อมนำมาพิจารณา
ศรัทธาจึงเกิดขึ้นได้โดยง่าย
การลังเลสงสัยในการปฏิบัติภาวนาจึงลดลงและทำให้เรามุ่งมั่นที่จะปฏิบัติตามหนทางนั้นๆเพื่อสติและสมาธิที่จะนำเราไปสู่ปัญญา
และหนทางไปสู่ความดับทุกข์ทั้งมวล
ธรรมะในการแก้ไขความลังเลสงสัยคือ
๑. ความสดับ-ศึกษาอ่านฟังมาก
๒. ความสอบถามผู้รู้และกัลยาณมิตร
๓. ความชำนาญในพระธรรมวินัย-ปฏิบัติอยู่ในศีล
๔. ความมากด้วยความน้อมใจเชื่อในพระรัตนตรัย
๕. ความมีกัลยาณมิตรที่ดี
๖. การเจรจาแต่เรื่องที่เป็นสมควรเหมาะสมเป็นประโยชน์ตามธรรม
๑. ความสดับ-ศึกษาอ่านฟังมาก
๒. ความสอบถามผู้รู้และกัลยาณมิตร
๓. ความชำนาญในพระธรรมวินัย-ปฏิบัติอยู่ในศีล
๔. ความมากด้วยความน้อมใจเชื่อในพระรัตนตรัย
๕. ความมีกัลยาณมิตรที่ดี
๖. การเจรจาแต่เรื่องที่เป็นสมควรเหมาะสมเป็นประโยชน์ตามธรรม
ฐิตรโส
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น