วันพุธที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2562

ปัญหาการภาวนา


ภาวนา

ปัญหาที่พบบ่อยๆ
1.     เราจำเป็นต้องนั่งสมาธินานๆไหม?
-           การนั่งสมาธิ สำคัญที่สติ ถ้านั่งนานหรือไม่นานแต่มีสติตามรู้ตลอดได้ก็ดีแล้ว
-           การนั่งทนปวดทนเจ็บไปให้ได้ตามเวลาดีที่ได้ความอดทน แต่ก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรมากนัก
-           การเจ็บปวดในการนั่งสมาธิภาวนาเป็นเรื่องธรรมดาที่สำคัญยิ่ง ถ้าเราเข้าใจ ความเจ็บปวดนั้นมีค่ายิ่งกว่าเงินทอง ถ้าเราเอาสติตามรู้เข้าไปในความเจ็บปวดนั้นได้ พิจารณาเข้าไปลึกลงไปทุกครั้งทุกคราที่ฝึกภาวนาจนสามารถแยกกาย/ใจนี้ได้ก็เป็นเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่แล้ว หลายคนใช้ความคิดแทนการพิจารณา เอาสิ่งที่จำมาตอบใจตัวเองจะเห็นได้ว่าครั้งเดียวก็แยกธาตุแยกขันธ์ตามที่จำมาได้แล้ว สิ่งเหล่านี้แก้ได้จากการนั่งภาวนานานๆหลายๆชม. ความจริงและความคิดก็จะแยกออกมาให้เรารู้ได้เองไม่ต้องให้ใครบอก
-           เริ่มต้นใหม่ๆ เราจึงต้องใช้ขันติความอดทนก่อน เช่นตั้งใจจะนั่ง1ชม. เจ็บปวดก็อดทน และพยายามพิจารณาตามความจำที่ครูบาอาจารย์สอนมา อดทนๆไม่ขยับไปตามความอยากของใจ พิจารณาไปๆ ถึงเวลาก็อย่าเพิ่งขยับ อดทนต่อไปๆเท่าที่ทำได้ พอไม่ไหวก็ขยับไปนิดหนึ่งแล้วนั่งต่อ พิจารณาความแตกต่างของอารมณ์ที่แตกต่างกัน ก่อนและหลังขยับตัว ดูใจตนเองว่าความคิดกับความจริงนั้นแตกต่างกัน   ค่อยๆทำเช่นนี้ไปหลายๆๆๆครั้ง จนความจริงไม่ต่างจากความคิด เป็นปัจจุบันขณะ ปัจจุบันจิตได้ นั้นแหละขั้นแรกแล้ว
-           1. เราจำเป็นต้องนั่งสมาธินานๆไหม?
-           เพียงแต่นั่งได้นานๆ นั้นคงไม่ดี ต้องนั่งให้ได้ผล ให้มันเพลินในการพิจารณา เวลาจะล่วงเลยไปนานเอง ผลที่ได้คือจะพบกับความสุขอิสระ พ้นจากความเจ็บปวดเอง เป็นอย่างนี้การนั่นนานๆจึงดี ทำให้เกิดปัญญา เมื่อเกิดปัญญาแล้ว จิตจะสว่างไสวเบิกบาน และเกิดความอาจหาญขึ้นมา ในคราวต่อๆไปก็จะไม่ย่อท้อ จากทุกข์เวทนาไจาการนั่งนานๆ ไม่ว่าเวทนามากหรือน้อยก็ตาม
2.     ภาวนา
ปัญหาที่พบบ่อยๆ
2.พิจารณา อย่างไร
การพิจารณาที่เราทำเป็นปกติคือการพิจารณาทุกข์ที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า ไม่ว่าจะมาจากกายหรือใจ ครูชาอาจารย์ท่านให้แยกแยะ ให้แตกกระจายออกไปเช่นปวดที่ขาก็แยกลงไปว่าปวดตรงไหน เอ็น กล้ามเนื้อ เส้นประสาท เส้นเลือด แล้วใช้ปัญญาพิจารณาว่าความจริงนั้นเป็นเช่นไร ที่เรายึดมั่นว่าเป็นตัวเราของเรานั้นเพราะอะไร?เป็นต้น แต่ก็มีการพิจารณาอีกมากมาย สำคัญที่สุดคือต้องเริ่มจากตัวเราเองพิจารณาลงไปแยกแยะให้ละเอียดลงไปๆ อย่าท้อ ทำบ่อยๆทำจนชำนาญ วันนี้เห็นแต่ความจำก็ยอม อดทนๆๆๆๆ ทำจนจิตดวงนี้ยอมแพ้กับความจริงเบื้องหน้า ยอมรับว่าที่เรายึดมั่นว่าเป็นตัวเรานั้นไม่จริงเลย เป็นความหลงของเราทั้งสิ้น
-การพิจารณา ในเบื้องต้นคือเอาคำสอนที่เราเรียนมา พิจารณากับความจริงที่อยู่เบื้องหน้า แรกๆคงต้องใช้ความจำ ย้ำเตือนใจเราให้รับรู้ไปตามที่เราเรียนรู้มา ทำไปแล้วทำไปอีก จนกว่าความจริงจะปรกกฏขึ้นที่ใจเรา การพิจารณานั้นขึ้นกับบุคคล ปกติ เราเคยพิจารณาสิ่งใดก็ให้ทำซ้ำเรื่องนั้นไปบ่อยๆให้ลึกขึ้นละเอียดขึ้นให้ลึกลงไปๆ จนความจริงเกิดขึ้นที่ใจเรา เะช่นพิจารณากายหนึ่งใน32อาการ หรือพิจารณาธาตุ หรือพิจารณาสิ่งกระทบทางกายทางใจเป็นต้น
-การแก้ความจำ/ความจริง
ที่เรามาร่วมนั่งสมาธิกัน โดยใช้เวลานานขึ้นเช่นสามสี่ชม.นั้น ก็เพื่อให้เราสามารถแยกความจริงกับความจำของเราด้วยตัวเราเอง การอดทนอาจะทนได้ชม.สองชม. แต่พอนานๆไปแล้ว จะใช้ความจำมาพยายามทนอยู่เป็นไปได้ยาก เราจะเห็นความอยาก ที่จะขยับอย่าเปลี่ยนอิริยบทเพื่อหนีความทุกข์ที่กำลังแสดงให้เราเห็นอยู่ตรงหน้าเรา ความทุกข์ที่เรามีหน้าที่จะต้องศึกษาให้เข้าใจ พิจารณาให้รู้จักได้อย่างละเอียด มิใช่หนีทุกข์นั้น การนั่งได้นานๆโดยไม่ขยับจึงเป็นวิธีที่พ่อแม่ครูอาจารย์ได้พาเราทำมาตั้งแต่เล็กๆ ปกติเรายังทำเช่นนี้กันอยู่ในวัดป่าโดยเฉพาะในคืนวันพระ จึงพยายามนำวิธีนี้มาให้พวกเราได้เข้าใจตนเองมากขึ้น เพราะความเข้าใจธรรมจากการฟังหรือการอ่านคงไม่ยากนัก แต่จะให้เข้าถึงใจโดยการปฏิบัตินั้น มีทางเดียวคือต้องทำด้วยตนเองเท่านั้น
3.     การฝึกสมาธิ โดยหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

" การทำสมาธิเบื้องต้น ต้องชำระศีลให้บริสุทธิ์ทำวัตรสวดมนต์บูชาพระ เจริญพรหมวิหาร ๔
และ สมาทานกรรมฐานเดินสมาธิ หรือ เดินจงกรม การเดินสมาธิ หรือ เดินจงกรม
เหมาะสำหรับคนที่มักมีความคิดฟุ้งมาก พระพุทธองค์กล่าวว่า ประโยชน์ของการ
เดินจงกรม มีดังนี้คือ 
-ทำให้ร่างกายแข็งแรงไม่เจ็บป่วยง่าย
-ทำให้ขาแข็งแรงเดินได้ทนและไกล
-เมื่อทำหลังอาหารทำให้อาหารย่อยง่าย
-สมาธิที่ได้จากการเดินจงกรมจะอยู่ได้นาน

.วิธีการเดินสมาธิหรือเดินจงกรม.
เลือกสถานที่ยาวประมาณ ๕ เมตรถึง ๑๐ เมตร แล้วแต่ความกว้างของสถานที่ และความรู้สึก
พอดี บางทียาวนักก็ไม่ดีเหนื่อย บางครั้งสั้นไปก็ทำให้เวียนหัว หันหน้าไปทางเดินจงกรม แต่อย่ามองไกล
เกินไป มองทอดสายตาดูไปข้างหน้าประมาณ  ๔ ก้าวเพื่อไม่ให้จิตใจวอกแวก แต่ไม่ใกล้เกิน
ไป จนรู้สึกปวดต้นคอ มือซ้ายมาวางที่หน้าท้องและ มือขวามาวางทับ เพื่อป้องกันแขนแกว่ง
ขณะเดิน และ ดูสวยงาม  เมื่อได้ท่าที่พอดีแล้วก็เดินก้าวขาขวาไป ก็นึก
คำว่า "พุท" และเมื่อก้าวขาซ้ายไปก็นึก คำว่า-"โธ" เวลาเดินไม่หลับตา แต่ให้ลืมตา และ
กำหนดสัมผัสของเท้าที่ก้าวเหยียบลงพื้น เดินว่า พุทโธๆไปเรื่อย
พอถึงปลายทางเดิน ก็หยุดนิดหนึ่งแล้วก็หันกลับด้านขวามือมาทางเดิม และเดินว่าพุทโธ
(กำหนดในใจ)ต่อไป อย่าเร็วเกินไป หรือ ช้าเกินไป กำหนดจิตของเราอยู่ที่ก้าวเดิน และ-
คำภาวนา ไม่ให้จิตวอกแวก  สิ่งสำคัญคือ
การกำหนดจิตให้ทันการเคลื่อนไหว ส่วนการเดินเป็นเพียงส่วนประกอบ เท่านั้น เราควรทำ
อย่างน้อย ๓๐ นาทีและ จะดีมากขึ้นถ้าตามด้วยการนั่งสมาธิ เพราะการเดินจงกรม เป็นการ-
เปลี่ยนอิริยาบถ ปล่อยอารมณ์ และ เตรียมร่างกายให้พร้อมสู่...การ...นั่งสมาธิ
.อิริยาบถนั่งสมาธิ          นั่งขัดสมาธิ เอาขาขวาทับขาซ้าย เอามือขวาทับมือซ้าย
วางลงบนตัก ตั้งกายตรง ไม่กดและข่มอวัยวะในร่างกาย วางกายให้สบาย ๆ
ตั้งจิตให้ตรง ลงตรงหน้า กำหนดรู้ซึ่งจิตเฉพาะหน้า ไม่ส่งจิตให้ฟุ้งซ่าน
ไปในเบื้องหน้า-เบื้องหลัง(อนาคตและอดีต)  พึงเป็นผู้มี...สติ กำหนดจิตรวมเข้าตั้งไว้ใน จิต
บริกรรม" พุทโธ "จนกว่า  จะเป็น...เอกัคคตาจิต."

หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
4.     ภาวนา
ปัญหาที่พบบ่อยๆ                  การพิจารณาเวทนา
เวทนา     ถึงแม้ว่าเราต้องพิจารณาเวทนาด้วยปัญญา แยกแยะเวทนาออกมาเป็นส่วนๆ เพื่อให้เข้าใจความจริงที่เป็นอยู่เฉพาะหน้า จะได้ไม่ยึดถือเวทนานั้นมาเป็นตัวเรา เป็นเวทนาของเรา จนทำให้เกิดทุกข์  แต่ที่เรามักจะพบเจอเสมอคือการเอาเวทนามาเป็นอารมภ์ และยึดเวทนานั้นเป็นเราซึ่งก็คือตรงกันข้ามกับที่ควรจะเป็น สาเหตุหลักใหญ่ๆที่พบคือเราเอาสติตามรู้ออกไป หลงไปปรุงแต่งกับเวทนานั้นๆ ทางแก้ไขคือให้มีสติอยู่กับกายกับใจนี้ตลอด ถึงแม้บางครั้งการพิจารณาด้วยสัญญาจะทำให้เราหลุดออกไป แต่การมีสติดึงกลับมากายใจเป็นระยะๆก็สามารถช่วยได้ เราจึงไม่ควรหลงไปกับเวทนานัก เพราะการมีสติย้อนมาที่จิตเป็นสิ่งที่ควรกระทำมากกว่าโยเฉพาะเวทนาใหญ่ๆเช่นเวทนาก่อนตายเป็นต้น

ไม่มีความคิดเห็น: