วันคล้ายวันเกิดปีที่หกสิบสาม
อีกครั้งหนึ่งที่วันคล้ายวันเกิดผ่านมา
เหลืออีกหกเจ็ดปีแล้วซินะ ตั้งแต่เล็กจนโตผ่านวันเวลาและเรื่องราวมากมาย
ค้นหาไขว่คว้าแสวงหาคำตอบของคำถามในใจ “เกิดมาทำไม?” แม้เป็นเพียงแค่คำถามสั้นๆ
แต่หาคำตอบยากยิ่งแล้วจริงๆ แต่ละช่วงของชีวิตมักใช้ไปกับการแสวงหา
แต่ก็ไม่ต่างกับผู้คนทั่วไป เติบโต ร่ำเรียนหนังสือ เล่นกีฬา
แต่ด้วยโรคภัยไข้เจ็บจึงทำให้มักใช้เวลาอยู่กับหนังสือเสียมาก และยังมีโอกาสได้ใกล้ชิดกับครูบาอาจารย์หลายๆท่าน
ได้เรียนศึกษาหาความรู้ต่างๆเพิ่มขึ้น ทั้งพ่อแม่ครูอาจารย์วิริยังค์ หลวงปู่สำราญ ท่านพุทธทาส สมัยเรียนก็ยังมีครูอาจารย์อีกหลายๆท่านเมตตาสั่งสอนวิชาการต่างๆมากมาย
มีอาจารย์ท่านหนึ่งจาก สแตนฟอร์ด สอนให้เราหัดวางแผนชีวิต คำที่ท่านใช้สอนคือ-Ten
year planning- ทำให้คิดว่าเกิดมาเพื่อเรียนรู้และสร้างความสำเร็จให้ชีวิต
?
ผ่านไปหลังเรียนจบ
ก็ได้วางแผนไปเรียนต่อในต่างประเทศ มีโอกาสศึกษาเรียนรู้ทั้งวิชาการทางการแพทย์ ศาสนาศิลปะวัฒนธรรมฯ
ในหลายประเทศ มีโอกาสได้เข้าทำงานร่วมกับผู้บริหารของสมาคมแพทย์นานาชาติหลายแห่งสิ่งเหล่านี้
ทำให้เกิดการเรียนรู้ถึงจุดหมายของแพทย์หลายๆท่าน
เราเองก็อาจเป็นเช่นกัน
จนกลับมาเมืองไทยพร้อมกระดาษในมือที่เขียนสิ่งที่อยากจะกระทำหลังกลับประเทศ18ข้อ
จุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ในชีวิต คือการที่คุณแม่ป่วยเป็นมะเร็ง
และการที่อาจารย์ศัลยเวทชวนไปออกหน่วยแพทย์ในต่างจังหวัด
แผนที่วางไว้ว่าจะสร้างรพ.มหาวิทยาลัย ทำโรงงานเครื่องสำอางที่อุตส่าห์ไปเรียนมาทั้งญี่ปุ่นและอเมริกาจึงต้องล้มไป
เอาเวลามาออกหน่วยผ่าตัดรักษาผู้พิการในต่างจังหวัดทั้งในและต่างประเทศ เวลาที่เหลือก็ยังได้ดูแลคุณแม่ที่เป็นมะเร็งนานถึง14ปี
วันเวลาที่ได้ใช้ชีวิตอยู่กับผู้คนในต่างจังหวัด
ออกหน่วยแพทย์ช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสพิการ กับเพื่อนๆที่มีใจบุญใจกุศล ได้ค่อยๆหล่อหลอมให้เราเปลี่ยนไปจากชีวิตที่เราใช้ในวัยเด็กและในต่างประเทศที่แตกต่างกันมากมาย
จนปี พ.ศ.2551 มีก้อนเนื้องอกที่ใต้ตาซ้าย หลังผ่าตัดการมองเห็นไม่ดีนักจึงงดออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ไป
ตั้งแต่เด็กที่ได้ครูจารย์วิริยังค์หัดนั่งสมาธิ
ต่อมาก็เป็นหลวงพ่อสำราญศิษย์ท่านพ่อลี ที่ได้หลักปฏิบัติภาวนาตามแนวท่านพ่อมา
และท่านพุทธทาสที่เราได้ไปศึกษาหาความรู้ที่สวนโมกข์ตั้งแต่เก้าขวบ
ในต่างประเทศก็ยังได้เรียนภานาทุกสัปดาห์กับพระชาวญี่ปุ่น และพระมหายานหลายท่าน
แต่ที่สำคัญคือหลังจากที่กลับมาเมืองไทยก็ได้พ่อแม่ครูบาอาจารย์องค์หลวงตาพระมหาบัวสั่งสอน
และทุกครั้งที่เราได้ออกหน่วยแพทย์ในต่างจังหวัดก็จะมีโอกาสได้กราบศึกษาขอความรู้จากพ่อแม่ครูอาจารย์ในพื้นที่นั้นๆทุกครั้งตลอดทุกๆเดือนเป็นเวลากว่ายี่สิบปี
จนทำให้มีโอกาสบรรพชาอุปสมบทถึงสี่ครั้ง สิ่งนี้จึงเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่หล่อหลอมเราให้เปลี่ยนแปลงไปอีก
ชีวิตมนุษย์นั้นอาจมิได้เป็นไปดังใจเสมอมักถูกหล่อหลอมไปตามประสบการณ์ของชีวิตที่เราซึมซับเข้าไปทุกขณะๆ
เราอาจมีอุดมการณ์ผลักดันให้เคลื่อนไปในทิศทางที่เราต้องการ
ร่วมกับการใช้ชีวตสังคมและผู้คนเพื่อนฝูงผู้ร่วมงานที่อยู่รอบข้างเราค่อยๆเบี่ยงเบนชีวิตเราไปตามสภาพแวดล้อมนั้น
แม้เรามักจะบอกว่าเราเป็นผู้ลิขิต แต่จะจริงหรือไม่
คงต้องตอบกันเองแต่ละคนแล้วครับ เวลาในชีวิตเรานั้นแต่ละคนล้วนมีมิมากนัก ร้อยปีก็มีน้อยนักที่จะไปถึง
ไม่ว่าจะฉลาด มีความรู้ มีชื่อเสียง เงินทอง มากมาย ก็ต้องเจ็บป่วย แก่ชรา
สุขทุกข์ไปตามท่วงทำนองชีวิตที่เราผ่านไป
จะมีทุกข์ตลอดหรือสุขยั่งยืนยาวนานตามประสงค์ก็ไม่เคยมีผู้ใดทำได้ ธรรมะ- ที่องค์พระบรมศาสดาประทานให้พวกเรานั้น
ล้วนชี้นำสั่งสอนเรื่องของชีวิตไว้อย่างสมบูรณ์
ไม่มีตำราวิชาใดๆที่จะแสดงให้เราเข้าใจชีวิตได้อย่างแท้จริงเท่าพระธรรมคำสอนขององค์พระบรมศาสดา
ชีวิตในวันนี้
สุขสงบ ผ่านไปเพียงมืดกับแจ้ง ทำงานเล็กๆน้อย ตอบแทนผู้คนรอบกาย
พ่อแม่-ครูบาอาจารย์-เพื่อนฝูงมิตรสหาย ขอบคุณสวรรค์ที่ได้มีโอกาสที่แสนดี
ได้พ่อแม่ครูอาจารย์ สหายรอบกายที่แสนดี
ช่วยเหลือสนับสนุนสรรสร้างโครงการสาธารณประโยชน์
แบ่งปันสิ่งดีๆให้กับผู้คนและสรรพชีวิตในโลกใบนี้ หกสิบกว่าปีนี้นับว่าคุ้มค่าแล้ว
อีกหกเจ็ดปีต่อไปไม่ว่าอะไรจะเกิดอะไร ก็คงจะมุ่งกระทำตามแนวทางที่พ่อแม่ครูบาอาจารย์พาดำเนินต่อไปแล้วครับ
วันเวลาที่แข็งแรง สามารถแสวงหาเวลาไปกราบเยี่ยมเยียนรับฟังธรรมโอวาทพ่อแม่ครูอาจารย์ร่วมกับมิตรสหายนั้น
นับวันก็จะยิ่งน้อยลงๆ
การจะรับใช้งานพ่อแม่ครูอาจารย์ดังที่เคยกระทำนั้นก็คงไม่สามารถกระทำได้ดังเคยแล้ว
คงได้แต่จะใช้เวลาอย่างสุขสงบแล้ว
กราบขอบพระคุณทุกๆท่านแล้วครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น