วันพุธที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2566

ลมใต้ปีก MDCU TALK2023

 





ลมใต้ปีก
- The Wind beneath the Wings”

กราบครูบาอาจารย์ที่รักทุกๆท่าน เพื่อนพี่น้องแพทย์จุฬาและ

ท่านผู้มีเกียรติทุกท่านครับ

ผมขอขอบคุณคณะกรรมการจัดงานประชุมวิชาการในครั้งนี้ด้วยครับ

ที่ให้เกียรติผมมาพูดคุยสนทนากับทุกๆท่านในเวที MDCU TALKแห่งนี้

ผม นพ.ปิโยรส ปรียานนท์ แพทย์จุฬารุ่น 32ครับ

ตั้งแต่จบจากจุฬาไป ผมก็ไม่ค่อยได้เข้ามาเยี่ยมเยียนที่นี่เท่าไหร่เลยครับ

จึงไม่มีโอกาสพบเจอครูบาอาจารย์และพี่ๆ น้องๆ แพทย์จุฬามากนัก

วันนี้นับว่าเป็นโอกาสอันดีที่ได้มาพบเจอและพูดคุย แลกเปลี่ยนประสบการณ์

เล่าสู่กันในงานนี้นะครับ

          ผมเองจบจากแพทย์จุฬาก็ไปอินเทิร์นที่รพ.ภูมิพล และกลับมาเรียนศัลยกรรมทั่วไปที่รพ.สมเด็จพระปิ่นเกล้า เมื่อเรียนจบก็รับทุนกองทัพเรือไปเรียนศัลยกรรมตกแต่งที่ประเทศญี่ปุ่น เมื่อสอบจบปีสุดท้ายก็ได้รับทุนจากมหาวิทยาลัยญี่ปุ่นไปเรียนต่อศัลยกรรมตกแต่งที่  รพ.Mt.Sainai Medical center ใน NY.ต่ออีกหนึ่งปี กลับจากอเมริกาสอบบอร์ดที่ญี่ปุ่นเสร็จแล้ว จึงกลับมารับราชการที่ รพ.สมเด็จพระปิ่นเกล้า ทำงานอยู่สองสามปีก็เข้าเรียน รร.เสนาธิการทหารเรือเมื่อเรียนจบก็ได้รับทุนไปเรียนต่อปริญญาเอกด้าน Biomedical Eng. ที่ญี่ปุ่นต่อครับ

          ตั้งแต่กลับมารับราชการที่รพ.ทหารเรือ ท่านอาจารย์ศัลยเวท เลขะกุล ก็ชวนไปออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่กับท่าน เพราะสมัยเป็นนักเรียนแพทย์เคยมีโอกาสออกหน่วยกับท่านและรู้สึกดีมากๆ เรียนท่านว่าอยากออกหน่วยกับท่านอีกเมื่อเรียนจบ

       ครั้งแรกที่มีโอกาสออกหน่วยแพทย์กับอาจารย์ศัลยเวทอีกครั้ง ท่านพาไปออกหน่วยที่รพ.ฝางจังหวัดเชียงใหม่ ขณะที่คณะของท่านรักษาผ่าตัดผู้ป่วย หู คอ จมูก ก็มีเด็กหญิงคนหนึ่งอายุประมาณ7-8ขวบ เป็นเด็กปากแหว่งมารอผ่าตัดอยู่ที่รพ.ด้วย เราจึงขออนุญาตท่านทำผ่าตัดเด็กหญิงคนนี้ ท่านอาจารย์เตือนว่าเราไม่มีเครื่องดมยานะ ต้องฉีดยาชาเฉพาะที่แทน ซึ่งทำได้ลำบากเพราะยังเป็นเด็กเล็ก อาจไม่ร่วมมือ แต่เราก็ได้พูดคุยกับเด็กและญาติ เด็กน้อยรับปากตกลง จึงเริ่มผ่าตัดให้ด้วยการฉีดยาชา เนื่องจากเป็นการผ่าตัดนอกสถานที่ ทุกๆอย่างไม่ค่อยพร้อมเลย รวมทั้งตัวแพทย์เองด้วย จึงใช้เวลานานมากเกือบสองชั่วโมงได้ครับ  เด็กน้อยก็แสดงว่าเจ็บเป็นระยะๆจึงต้องเพิ่มยาชาให้อีก มีน้ำตาไหลรินให้เห็นทุกครั้งที่ถามเธอว่าเจ็บไหม หมอเองก็ตื่นเต้นไปด้วย แต่ทุกอย่างก็ผ่านไปด้วยดีครับ นับเป็นการผ่าตัดที่ฝังอยู่ในใจตลอดมา  อีกสองสามเดือนเราได้กลับไปตรวจติดตามผลการผ่าตัดที่รพ.ฝางอีกครั้ง พบว่าผลผ่าตัดออกมาดีมาก เด็กน้อยเข้ามาโอบกอดเอวเรา เธอกล่าวว่า “ขอบคุณคุณหมอมากค่ะ ต่อไปนี้หนูจะตั้งใจเรียน ไม่อายเพื่อนๆแล้วค่ะ” ประโยคนี้เข้าไปอยู่ในใจเรานับแต่วันนั้น เพราะทำให้เรารู้ว่ายังมีผู้ป่วยในชนบทที่รอรับการรักษาอยู่อีกมาก ซึ่งเราสามารถให้ความช่วยเหลือเขาได้ เพราะการจะให้พวกเขาเข้ามารับการรักษาในเมืองใหญ่คงทำได้ยากจากปัญหาเรื่องการเดินทางและค่าใช้จ่าย และนี่คือจุดเริ่มต้นที่เราได้จัดตั้งหน่วยแพทย์เคลื่อนที่มูลนิธิดวงแก้วขึ้น เพื่อออกไปผ่าตัดแก้ไขความพิการให้เด็กๆในชนบท  แรกๆก็ได้ครูบาอาจารย์และรุ่นพี่ๆช่วยเหลือตลอด ทั้งเครื่องมืออุปกรณ์การแพทย์ รถยนต์พาหนะและที่สำคัญมากคือการติดต่อประสานงานกับรพ.ในชนบท ท่านอาจารย์ศัลยเวท บอกเราว่าไม่ต้องกลัว เพราะมีพี่น้องแพทย์จุฬาเราอยู่ทุกจังหวัดที่คอยช่วยเหลือกันได้เสมอ  ต่อจากนั้นเราก็ได้ออกหน่วยแพทย์กันทุกๆเดือน เดือนละครั้งสองครั้งตลอดมา ทั้งในและต่างประเทศโดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียง ทั้งลาว พม่า กัมพูชา ฟิลิปปินส์ อินเดีย บังคลาเทศและปากีสถาน ภูฐาน และเนปาลเป็นต้น

          การที่ได้ออกหน่วยไปในชนบทและต่างแดนที่ทุรกันดาร ทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องต่างๆมากมาย เช่นทำให้ทราบว่า การให้ความช่วยเหลือโดยการรักษาผ่าตัดทางร่างกายเพียงอย่างเดียวอาจยังไม่พอเพียง เพราะเขายังต้องการความช่วยเหลือด้าน การศึกษา การอาชีพ และหลักยึดเหนี่ยวทางจิตใจ เนื่องจาก คนไข้ส่วนใหญ่ของเราเป็นผู้พิการและด้อยโอกาส เขาจึงรู้สึกมีปมด้อยอยู่ในใจเสมอ เราจึงจัดให้มีโครงการต่างๆเพิ่มขึ้นเช่น การสอนฝึกพูดสำหรับผู้ป่วยปากแหว่งเพดานโหว่ โดยจัดเป็นแคมป์ฝึกพูดและเปิดรร.สอนฝึกพูดที่อยุธยาเป็นต้น นอกจากนี้ เรายังดูแลเรื่องการศึกษาของเด็กๆในชนบท เช่น มอบทุนการศึกษา ให้ทุนโครงการพัฒนาการศึกษาและฝึกอาชีพต่างๆ โครงการอาหารกลางวัน สร้างอาคารเรียน ห้องสมุด ห้องพยาบาล ห้องสุขาฯเป็นต้น ปัจจุบันเป็นอาคารที่26 ที่รร.บ้านกุยแหย่ ทองผาภูมิครับ  ทางด้านการศาสนา เราได้จัดโครงการส่งเสริมจริยธรรม มีการนำพระสงฆ์มาสอน ปฏิบัติธรรม ฝึกสมาธิในโรงเรียน และวัดวาอารามใกล้เคียงอีกด้วย  เพื่อช่วยเหลือเด็กๆที่มีปมในใจ และสร้างเสริมสมาธิ ส่งผลให้การเรียนดีขึ้นด้วย นอกจากนี้ เรายังช่วยบูรณะปฏิสังขรณ์ จัดสร้างเสนาสนะวัดวาอารามให้เป็นหลักยึดเหนี่ยวจิตใจของผู้คนในชนบทเหล่านั้นด้วย วัดที่เพิ่งเสร็จไปเป็นอันดับที่19 วัดป่ามหาวันที่น่าน ตอนนี้สร้างเจดีย์อยู่ที่สระแก้วครับ   ทางการแพทย์ นอกจากการออกหน่วยรักษาพยาบาลให้ผู้ป่วยแล้ว เรายังให้ทุนการศึกษาแพทย์พยาบาล  จัดหาเวชภัณฑ์ ครุภัณฑ์ จัดสร้างอาคารสถานที่ มอบให้โรงพยาบาลที่ขาดแคลนในชนบทด้วย  นอกจากนี้เรายังจัดหน่วยแพทย์ให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติต่างๆ ทั้งอุทกภัย วาตภัย แผ่นดินไหว โรคระบาดต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ  เช่น Tsunami ที่ศรีลังกา, แผ่นดินไหวที่เนปาล, อุทกภัยที่พม่า,  เขื่อนแตกที่ลาว,  ภัยสงครามที่เซอร์เบีย,  พายุไต้ฝุ่นที่ตักโลบัน (Tacloban)  ประเทศฟิลิปปินส์เป็นต้น นอกจากการช่วยเหลือทางการแพทย์แล้ว เรายังให้การช่วยเหลือด้านอื่นๆไปพร้อมๆกันเช่นที่ศรีลังกา เรามอบเสื้อผ้า ถุงยังชีพ ข้าวสารอาหารแห้งฯ สร้างบ้านพัก, อาคารเรียน, มอบข้าวสารอาหารแห้งให้ผู้ประสบภัยที่เนปาล  สร้างสถานนีอนามัยให้ที่พม่า มอบเสื้อผ้าชุดทำงานให้แพทย์พยาบาลและซ่อมแซมหลังคาให้รพ.ในฟิลิปปินส์เป็นต้น

          ในช่วงการระบาดของไวรัสโคโรน่า เราพบว่าน้องๆแพทย์ในชนบทมีปัญหามากมาย จากพื้นที่โรงพยาบาลที่แออัดคับแคบ เราจึงช่วยเหลือแบ่งเบาภาระน้องๆบ้าง เช่น จัดส่งยาและเวชภัณฑ์ เครื่องอุปโภค บริโภคที่จำเป็นให้ และช่วยจัดสร้างอาคารสถานที่ที่จำเป็นมอบให้รพ.ที่ขาดแคลนเพื่อลดความแออัดในรพ.อีกด้วย ปัจจุบันนับเป็นอาคารลำดับที่15แล้วครับ ซึ่งกำลังดำเนินการก่อสร้างให้รพ.ดงหลวง จ.มุกดาหารครับ

          วันนี้นับว่าเป็นโอกาสดีที่ได้มาพูดคุยกัน ณ ที่นี้ ผมจึงอยากเรียนให้ครูบาอาจารย์และพี่น้องเพื่อนๆทุกท่านให้ทราบว่า เรื่องราวใดๆที่ได้กระทำลงไปแล้วนั้น มิอาจสำเร็จลุล่วงได้เลย ถ้าไม่ได้พระคุณครูบาอาจารย์ที่อุทิศตน มอบความรู้ ประสบการณ์ สร้างแรงบันดาลใจ และสอนคุณค่าแห่งการเป็นแพทย์ให้ นอกจากนี้ยังมีเพื่อนๆ รุ่นพี่รุ่นน้อง ที่ให้ความช่วยเหลือกันและกันตลอดมา และในการทำงานทุกๆอย่าง ยังมีบุคคลรอบข้างที่ยังให้ความช่วยเหลือเราอีกมากมาย บางครั้งเราเองยังมิอาจทราบได้ด้วยซ้ำไป

          สิ่งเหล่านี้ประดุจดัง สายลมใต้ปีก ที่คอยผลักดันให้นกตัวน้อยนี้ บินสูง สู่ท้องฟ้ากว้าง สู่ความสุขและความสำเร็จที่รอคอยอยู่เบื้องหน้า นกน้อยๆที่โผบินสู่ท้องฟ้ากว้าง ตัวแล้วตัวเล่าที่ออกจากสถาบันการศึกษาแห่งนี้ไป ลำพังนกตัวน้อยๆเหล่านี้ คงมิอาจโบยบินสู่ท้องฟ้าไปไกลแสนไกลได้  ถ้าขาดแรงลมใต้ปีก ที่แม้มิอาจมองเห็นได้ด้วยสายตา แต่สามารถสัมผัสได้ด้วยใจ สายลมแห่งความรักความปรารถนาดี สายลมที่แสนอบอุ่นและทรงพลังนี้ จะคอยผลักดันช่วยเหลือนกน้อยๆเหล่านั้นอยู่เสมอ  ดังที่เราได้พบเห็นว่าพี่น้องแพทย์จุฬาของเราได้ประสบความสำเร็จสร้างประโยชน์คุณูปการมากมายต่อประเทศชาติและสังคมแห่งนี้ตลอดมา

และเมื่อถึงวันเวลาหนึ่ง ผมเองก็อยากจะขอให้พวกเราทุกคนจะพร้อมที่จะเป็นเสมือนดัง  “ สายลมใต้ปีก”  ที่จะคอยผลักดัน น้องๆรุ่นต่อๆไป ในสังคมแห่งนี้  ให้โบยบินสู่ท้องฟ้ากว้าง อย่างมีความสุขประสบความสำเร็จ สร้างประโยชน์แก่ตนเองและเพื่อนมนุษย์ที่กำลังตกทุกข์ได้ยากในสังคมนี้ต่อไป    

ดังคำของสมเด็จพระราชบิดา ที่ตรัสไว้ว่า

“ ขอให้ถือประโยชน์ส่วนตน เป็นที่สอง

ประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์ เป็นกิจที่หนึ่ง

ลาภทรัพย์และเกียรติยศจะตกแก่ท่านเอง  

ถ้าท่านทรงธรรมะแห่งอาชีพ ไว้ให้บริสุทธิ์ ”

          ขอขอบคุณ กระแสลมแห่งปัญญาและความรัก อันแสนอบอุ่น จากคุณครูและผู้คนที่เสียสละผลักดัน สนับสนุนพวกเราทุกคน จนประสบความสำเร็จในชีวิต ด้วยความเสียสละที่ไม่เคยมุ่งหวังสิ่งตอบแทน เป็นความรักที่ปราศจากเงื่อนไขหรือผลประโยชน์ใดๆ  สายลมใต้ปีกนี้ จะคอยเตือนเราให้กระทำแต่คุณงามความดี ต่อประเทศชาติบ้านเมืองและสังคมนี้ตลอดไป

สุดท้ายนี้ กระผมขอกราบขอบพระคุณครูบาอาจารย์ที่มิเพียงแต่สอนให้ศิษย์เป็นแพทย์จุฬาที่สมภาคภูมิคนหนึ่ง  แต่ยังสามารถเป็นแพทย์ที่ได้ช่วยเหลือผู้คนที่ตกทุกข์ได้ยากในสังคมของเราได้อีกด้วย   

 

กราบขอบพระคุณ สายลมใต้ปีกนี้

ด้วยความรักและเคารพตลอดไป

ทริบจาริกบุญอินเดีย 1-6ธค.66

 


ร่างกำหนดการเดินทางจาริกบุญอินเดียเนปาล 1-6 ธันวาคม 2566 

จาริกบุญอินเดีย- เนปาล ณ สังเวชนียสถาน 6 วัน 5 คืน  1-6 ธ.ค. 66 

 กราบนมัสการพุทธสังเวชนียสถานได้แก่   

       ๑ .  สวนลุมพินีวัน  สถานที่ที่พระโพธิสัตว์เจ้าทรงประสูติจากครรภ์ พระพุทธมารดา   

       ๒ .  เมืองกุสินารา สถานที่ทรงเสด็จเข้าสู่ปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ   

             ซึ่งพระผู้มีภาคเจ้าที่ทรงตรัสไว้กับพระอานนท์ ปรากฏไว้ในพระไตรปิฎก ฉบับมหาปรินิพานสูตรว่า.-  

             อานนท์ ชนทั้งหลายเหล่าใดเหล่าหนึ่ง ได้เที่ยวไปยังเจดีย์สังเวชนียสถานเหล่านี้ด้วยความเลื่อมใส

ชนเหล่านั้น ครั้นทำกาลกิริยาลง จักเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์” 

เส้นทาง   กรุงเทพ-ลัคเนาว์-สาวัตถี–ลุมพินี-กบิลพัสดุ์-กุสินารา–ลัคเนาว์-กรุงเทพ 

*****ผู้ตัดสินใจเดินทางร่วมคณะ ขอให้ทราบว่าเราไปปฏิบัติภาวนา มิได้ไปเที่ยว ถ้าเป็นไปได้ขอให้เคยผ่านอบรมที่วัชรธรรมมาแล้ว และคิดว่ากำลังอบรมอยู่ตลอดการเดินทาง คือรักษากาย รักษาใจ ถือศีล8 ภาวนา ตลอดเส้นทางนะครับ***** 

ร่วมบุญได้ที่   ธ.ทหารไทย เลขที่ 040-233-6242           

 "วัชรธรรม"หรือพร้อมเพย์ 089-892-8822 

ส่งหลักฐานการโอนมาที่ vacharadham@gmail.com 
ติดต่อสอบถามโทร. 085-123-9952/ 081-875-5588 / LINE id: dkf33

 

 

วันแรก 1 ธ.ค. 66 กรุงเทพ-ลัคเนาว์

16.30 น. คณะมาพร้อมกันที่ สนามบินดอนเมือง ผู้โดยสารขาออกชั้น 3 เทอมิเนอร์ 1 เคาน์เตอร์ 1-2 เช็คอินกรุ๊ปของสายการบิน แอร์เอเซีย( AIR ASIA ) หมายเหตุ POWER BANK ถือขึ้นเครื่อง และ ต้องมี แบตไม่เกิน  1 หมื่นแอมป์  **สายการบินไม่อนุญาตให้นํา power bank และอุปกรณ์ไฟฟ้าทุกชนิด ใสในกระเป๋าที่จะโหลดใต้ท้องเครื่องซึ่งมีนน.ไม่เกิน 20กก. **

20.10 น. ออกเดินทางสู่ เมืองลัคเนาว์ โดยสายการบินแอร์เอเซีย เที่ยวบินที่ FD 146  (20.00-22.30)

22.30 น. ถึงสนามบิน เมืองลัคเนาว์ ประเทศอินเดีย (เวลาท้องถิ่น ช้ากว่าประเทศไทย 01.30 ชั่วโมง) และผ่านขั้นตอนการตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากร แล้วนำท่านเข้าสู่ที่พัก           -           เปิดทริปจาริกบุญที่ ลัคเนาว์ 

ด้วยความที่เราเดินทางจากสุวรรณภูมิประมาณ 20.00 น. มาถึงลัคเนาว์เป็นเวลาอินเดียประมาณสี่ทุ่มครึ่ง (รวมประมาณ 3ชั่วโมงครึ่ง)นั่งรถต่อไปสาวัตถีที่ต้องใช้เวลานานถึง 4 ชั่วโมง  เพื่อมาพักที่โรงแรมก่อน จึงมองไม่เห็นอะไรมากนักเพียงวิถีชนบทของอินเดีย ตอนกลางคืน อันได้แก่ท้องทุ่ง บ้านเรือนที่ปลูกกันง่ายๆ รวมถึงตลาดสลับกันไป   (เรื่องปลั๊กไฟที่อินเดีย ก่อนไปค่อนข้างกังวลเรื่อง adaptor ว่าจะใช้ได้หรือไม่ ปรากฏว่าโรงแรมทุกแห่งที่เข้าพัก ปลั๊กไฟสามารถใช้กับอุปกรณ์ไฟฟ้าจากบ้านเราได้เลย แต่เตรียมไปย่อมดีกว่า) 

 

วันที่ 2 ธ.ค.   เมืองหลวงแห่งแคว้นโกศล – สาวัตถี

05.00   ทำวัตรเช้า-ปฏิบัติภาวนา

07.00   ถวายจังหัน-รับประมานอาหารเช้า

08.00   วัดไทยเชตะวัน ใกล้ที่แสดงยมกปาฏิหาริย์-ถวายปัจจัยไทยธรรม

            + บ้านท่านอนาถะ + บ้านท่านองคุลิมาล

11.30   อาหารกลางวัน

14.30   เชตวันมหาวิหาร-ปฏิบัติภาวนา

21.30  Hotel Platinum

 

วัดเชตวันมหาวิหาร 

วัดเชตวันมหาวิหาร พระอารามที่พระพุทธเจ้าจำพรรษามากที่สุดถึง 19 พรรษา พระธรรมบท 332 เรื่อง เกิดขึ้นทีนี่  ในสมัยพุทธกาลนั้น กล่าวกันว่าเป็นวัดที่มีขนาดใหญ่ สร้างขึ้นจากศรัทธาของนายสุทัตตะซึ่งชาวบ้านนิยมเรียกกันว่าอนาถบิณฑิกเศรษฐีหลังจากได้รับฟังพระธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้าเมื่อครั้งไปค้าขายที่เมืองราชคฤห์ จึงอาราธนาพระองค์มาประทับที่เมืองสาวัตถี โดยซื้อพื้นที่ดินของเจ้าเชตมาสร้างเป็นวัด เล่ากันว่าเจ้าเชตให้อนาถบิณฑิกเศรษฐีนำเหรียญทองมาปูให้เต็มพื้นที่ที่จะสร้างวัด ด้วยความที่ไม่อยากจะขาย หากเมื่อเห็นศรัทธาอันแรงกล้าของอนาถบิณฑิกเศรษฐี จึงยอมขายด้วยราคาแพงถึง 18 โกฏิ เมื่อรวมการสร้างวัดและถาวรวัตถุต่างๆรวมอัก 36 โกฎิ วัดแห่งนี้มีราคาถึง 54 โกฏิ (1 โกฏิ เท่ากับ 10 ล้าน) แต่ให้เว้นที่ทางเข้าไว้และใช้ชื่อวัดว่าเชตวัน 

 

วันที่ 3 ธ.ค.           สาวัตถี-ลุมพินี

05.00    ทำวัตรเช้า-ปฏิบัติภาวนา

07.00    ถวายจังหัน-รับประมานอาหารเช้า

08.00    วัดไทยกบิลพัสดุ์-วัดไทยนิโคธาราม-ถวายปัจจัยไทยธรรม

11.30    อาหารกลางวัน

15.00    มหาวิหาร มายาเทวี-ปฏิบัติภาวนา

18.00    วัดไทยลุมพินี-ถวายปัจจัย ร่วมผ่าตัดตาชาวเนปาล-

19.00    Hotel Asia Buddha 

 

กรุงกบิลพัสดุ์ (Kapilavastu)

กรุงกบิลพัสดุ์ เป็นชื่อเมืองหลวงของแคว้นสักกะ แม้ว่าจะไม่เป็นสังเวชนียสถาน แต่ก็มีความเกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้าเป็นอย่างมาก เพราะเมืองนี้เป็นเมืองของพระเจ้าสุทโธทนะผู้เป็นพระราชบิดาของเจ้าชายสิทธัตถะซึ่งต่อมาได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า เรื่องราวต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย 

กบิลพัสดุ์ แปลตามศัพท์ว่าที่อยู่ของกบิลดาบสเพราะบริเวณที่ตั้งเมืองนี้เคยเป็นที่อยู่อาศัยของดาบสชื่อ กบิล พวกเจ้าศากยะได้มาจับจองตั้งเป็นเมืองขึ้นและตั้งชื่อเมืองใหม่นี้ว่ากบิลพัสดุ์ เพื่อเป็นอนุสรณ์แก่กบิลดาบส   พระถังซัมจั๋ง ได้พรรณนา เมืองกบิลพัสดุ์แห่งนี้ว่าแคว้นกบิลพัสดุ์ มีอาณาเขตโดยรอบ ประมาณ 4000 ลี้ เขตนครหลวงโดยรอบ ประมาณ 1000 ลี้ เป็นที่ร้าง ปรักหักพัง กำแพงพระราชวัง โดยรอบราว 15 ลี้ เหลือแต่ฐาน ก่อด้วยอิฐแข็งแรงมากกรุงกบิลพัสดุ์ใหม่นี้ถูกสัญนิษฐานว่า หลังจากเจ้าศากยวงศ์ทั้งหลายถูกทำลายโดยพระเจ้าวิฑูทภะ ที่ยังเหลืออยู่ก็ได้มาสร้างวังแห่งใหม่ ณ สถานที่แห่งนี้ และสร้างสถูปพร้อมบรรจุพระบรมสารีริกธาตุไว้ด้วย ซึ่งเมืองกบิลพัสดุ์เก่านั้น ปัจจุบันอยู่ในเขตประเทศเนปาล ห่างจากลุมพินีวันทางทิศเหนือ 22 กิโลเมตร ที่นี่ยังพบผอบหินสบู่ (Soap Stone) ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ พร้อมอักษรพรหมีที่สลักเป็นหลักฐานว่า นี้คือพระบรมสารีริกธาตุ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จากศากยวงศ์   

 

"สถานที่ประสูติของพระบรมศาสดา"  ลุมพินีสถาน เมืองไภรวา ประเทศเนปาล 

  ปัจจุบันลุมพินีวันอยู่ในเขตประเทศเนปาล ติดชายแดนประเทศอินเดีย อยู่ทางเหนือเมืองโคราฆปุระ ตั้งอยู่ระหว่างเมืองกบิลพัสดุ์และเมืองเทวทหะ ลุมพินีวัน มีเนื้อที่ประมาณ 2,000 ไร่ เป็นที่ตั้งของ "วิหารมายเทวี" สถานที่ประสูติของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งภายในวิหารจะมี "รูปปั้นของพระนางมายาเทวี" ขณะกำลังให้กำเนิดเจ้าชายสิทธัตถะ และรูปรอยพระบาทของเจ้าชายสิทธัตถะส่วนภายนอกเป็นที่ตั้งของ "เสาหินพระเจ้าอโศก" ที่จารึกว่า สถานที่แห่งนี้ เป็นสถานที่ประสูติของเจ้าชายสิทธัตถะ และมี "สระโบกขรณี" อยู่ที่ด้านหลังของวิหารมายเทวี  

 

วันที่ 4 ธ.ค.   ลุมพินี-กุสินารา

05.00    ทำวัตรเช้า-ปฏิบัติภาวนา

07.00    ถวายจังหัน-รับประมานอาหารเช้า

08.00    พระวิหารมายาเทวี  Maya – ปฏิบัติภาวนา

10.00    อาหารกลางวัน

15.00    Ramabhar Stupa "มกุฏพันธนเจดีย์" -ปฏิบัติภาวนา

17.00    Hotel Imperial

18.00    วัดไทยกุสินารา - ถวายปัจจัยไทยธรรม

 

กุสินารา สถานที่ดับขันธปรินิพพาน แห่งพระศาสดา  

เช้านี้ คณะเดินทางแสวงบุญตามรอยพระบาทที่ยาตรา...แห่งองค์พระพุทธศาสนา ได้ตื่นกันแต่เช้าไปปฏิบัติภาวนาที่ลุมพินีก่อนแล้วกลัมาโรงแรมเพื่อออกเดินทางสู่จุดหมายต่อไป นั่นก็คือ "เมืองกุสินารา"อาจแวะกินอาหารเช้าที่วัดไทย 960   

 เดินทางมาถึง "เมืองกุสินารา" ในสมัยพุทธกาลเป็นเมืองเอกหนึ่งในสองของแคว้นมัลละ อยู่ตรงข้ามฝั่งแม่น้ำคู่กับเมือง ปาวา เป็นที่ตั้งของ "สาลวโนทยาน" หรือป่าไม้สาละที่พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพาน ปัจจุบัน "กุสินารา" มีอนุสรณ์สถานที่สำคัญคือ "สถูปใหญ่" ซึ่งพระเจ้าอโศกมหาราชสร้างไว้ เพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ส่วนวิหารปรินิพพาน เป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธรูปปางปรินิพพาน โดยรอบๆ จะมีซากศาสนสถานโบราณอยู่มากมาย  

   

วันที่ 5 .ค. กุสินารา-ลัคเนาว์

05.00    ทำวัตรเช้า-ปฏิบัติภาวนา

07.00    ถวายจังหัน-รับประมานอาหารเช้า

08.00    Parinirvana Kusinara สาลวโนทยานปฏิบัติภาวนา

            ("มกุฏพันธนเจดีย์" -ปฏิบัติภาวนา)

11.30    อาหารกลางวัน

18.00    Lucknow-Hotel

 

"มกุฏพันธนเจดีย์" สถานที่ทำพิธีถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ ซึ่งมีชื่อเรียกในท้องถิ่นว่า รามภาร์-กา-ฏีลา ตั้งอยู่ห่างจาก “มหาปรินิพพานสถูป" ไปทางด้านทิศตะวันออก ๑ กิโลเมตร เป็นสถานที่ถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระของพระพุทธเจ้า เดิมทีเป็นเชิงตะกอนไม้จันทร์หอม หลังจากที่ถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระแล้ว ก็ได้สร้างพระสถูปครอบลง ภายหลังได้ถูกขุดค้นพบเป็นซากกองอิฐพระสถูปขนาดใหญ่ ดังที่เห็นในปัจจุบัน พระสถูปนี้วัดโดยรอบฐานได้ ๔๖.๑๔ เมตร และขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ๓๗.๑๘ เมตร ตามหลักฐานก็เป็นที่ชัดเจนว่านั่นคือ สถานที่ถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระของพระพุทธเจ้า หรือ มกุฏพันธนเจดีย์ ตามที่ชาวพุทธเรียกชื่อกัน 

เสร็จจาก "เมืองกุสินารา" คณะเดินทาง ได้เดินทางกันต่อเพื่อไปยัง "เมืองลัคเนาว์" 

 

วันที่ 6 ธ.ค. ลัคเนาว์-กรุงเทพฯ

05.00    ทำวัตรเช้า-ปฏิบัติภาวนา

07.00    ถวายจังหัน-รับประมานอาหารเช้า

09.00    Dr Ambedkar Park – ปฏิบัติภาวนา

11.30    อาหารกลางวัน

13.00    ฮาซรัตกันจ์” (Hazratganj) shopping + Rumi Darwaza

19.00    (Chaudhary Charan Singh International Airport)

23.00    เดินทางสู่ กรุงเทพมหานคร FD 147 (23.00-04.00)

 

"อัมเบดการ์ เมมโมเรียล พาร์ค"  (Ambedkar Memorial Park) 

วัดพุทธที่ใหญ่สุดในลัคเนาว์ ที่นี่เหมือนเป็นสวนสาธารณะที่ไม่มีสวนครับ ไม่มีต้นไม้ แต่เป็นสิ่งปลูกสร้างที่ยิ่งใหญ่อลังการมาก เราจะได้ตื่นตาตื่นใจกับภาพที่เห็น อัมเบ็ดการ์เมมโมเรียลพาร์ค(Ambedkar Memorial Park) สิ่งปลูกสร้างอันยิ่งใหญ่ตระการตา อย่างน้อยช่วงเวลาเล็กๆก็ทำให้เราได้ตื่นตากับอาคารบ้านช่อง พร้อมกับสดับตรับฟังเรื่องราวของความงดงามทางสถาปัตยกรรมศิลปะแบบเปอร์เซียและยุโรป ทำให้คิดว่าถ้ามีโอกาสได้มาอีกครั้ง หรือใครที่วางแผนว่าจะเดินทางมาที่ลัคเนาว์  อยากให้เผื่อเวลาให้เมืองนี้ดูสักหนึ่งวัน นอกจากชมสถานที่สำคัญของเมืองอันยิ่งใหญ่ตระการตาแล้ว เมืองนี้ยังมีชื่อเสียงทางด้านงานผ้าปักที่เรียกว่า จิคัน (Chikan) และซาร์โดซี (Zardozi) ที่มีเอกลักษณ์ สวยงาม ประณีตและสร้างแรงบันดาลใจให้กับนักออกแบบทั่วโลก

Rumi Darwaza รุมิดาร์วาซ หรือ รูมีทรวาฌา หรือ รุมีดาร์วาซา บางครั้งเรียกว่า "ประตูตุรกี" เป็นประตูเมืองขนาดใหญ่ในลัคเนา อุตตรประเทศ ประเทศอินเดีย สร้างขึ้นโดยการอุปถัมภ์ของ Nawab Asaf-Ud-daula ในปี 1784 ประตูนี้เป็นตัวอย่างสำคัญหนึ่งของสถาปัตยกรรมลัคเนา ประตูมีความสูง 60 ฟุต นี้ได้สร้างโดยถอดแบบมาจาก Sublime Porte ในอิสตันบูล

บาราอิมามบารา (Bara Imambara)

อัครมัสยิดศาสนสถานของชาวมุสลิม ที่สร้างผสมผสานกันระหว่าง ฮินดูและมุสลิม ตั้งอยู่ที่เมืองลัคเนาว์ มีความยิ่งใหญ่สวยงาม ไม่แพ้ที่ใดๆในโลก สวยซะจนถ่ายรูปกันเพลินไปเลยล่ะครับ 

การไปท่องเที่ยวตามรอยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่อินเดียในครั้งนี้ นับว่าเป็นบุญจริงๆครับที่ได้มีโอกาสไปสัมผัสด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นสถาปัตยกรรมต่างๆ สัมผัสกับวิถีชีวิตผู้คนรอบข้าง ความเป็นศิลปะจนอยากให้ทุกคนได้ไปลองสัมผัสดูซักครั้งในชีวิตนะครับ 

 

 

 

****ผู้ตัดสินใจเดินทางร่วมคณะ ขอให้ทราบว่าเราไปปฏิบัติภาวนา มิได้ไปเที่ยว ถ้าเป็นไปได้ขอให้เคยผ่านอบรมที่วัชรธรรมมาแล้ว และคิดว่ากำลังอบรมอยู่ตลอดการเดินทาง คือรักษากาย รักษาใจ ถือศีล8 ภาวนา ตลอดเส้นทางนะครับ****

 

ร่วมบุญได้ที่   ธ.ทหารไทย เลขที่ 040-233-6242          

 "วัชรธรรม"หรือพร้อมเพย์ 089-892-8822

ส่งหลักฐานการโอนมาที่ vacharadham@gmail.com 

ติดต่อสอบถามโทร. 085-123-9952/ 081-875-5588

สำหรับผู้ร่วมเดินทาง ค่าใช้จ่ายห้องคู่ 29,999บาท/คน

(สำหรับ 20ท่าน) - (พักเดี่ยวเพิ่ม 10,000 บาท)

งวดแรก  20,000บาท ภายใน 30 กันยายน

งวดสอง    9,999บาท ภายใน 30 ตุลาคม

 

ค่าบริการนี้ไม่รวม

ค่าทำหนังสือเดินทางไทย และเอกสารต่างด้าวต่างๆ

กระเป๋าเดินทางในกรณีที่น้ำหนักเกินกว่าที่สายการบินกำหนด 20 กิโลกรัม/ท่าน

   ส่วนเกินน้ำหนัก เงื่อนไขตามสายการบินกำหนด

ค่าใช้จ่ายส่วนตัวนอกเหนือจากรายการ เช่น ค่าเครื่องดื่ม, ค่าอาหารที่สั่งเพิ่มเอง, ค่าโทรศัพท์, ค่าซักรีดฯลฯ

ค่าอาหาร/เครื่องดื่มที่ไม่ได้ระบุไว้ในรายการ

ค่าทำใบอนุญาตที่กลับเข้าประเทศของคนต่างชาติหรือคนต่างด้าว

ค่าภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% หัก ณ ที่จ่าย 3 % ต่างๆ

ค่าทิปสำหรับ คนขับรถและมัคคุเทศก์ท้องถิ่น ต่อท่านละ 40 USD ต่อ/ทริป/ต่อท่าน*

• * ประกันการเดินทางสำหรับครอบคลุมเรื่องสุขภาพ *

เบี้ยประกันเริ่มต้น 430 บาท [ระยะเวลา 5-7 วัน]

ความครอบคลุมผู้เอาประกันที่มีอายุมากกว่า 16 และน้อยกว่า 85 ปี

วงเงินรักษาพยาบาล 2 ล้าน, เสียชีวิตหรือเสียอวัยวะจากอุบัติเหตุ 1.5 ล้านบาท

พักเดี่ยวเพิ่มคนละ10,000บาท

 

ค่าบริการนี้รวม

ค่าตั๋วโดยสารเครื่องบินไป-กลับ ชั้นประหยัด ที่ระบุวันเดินทางไปกลับพร้อมคณะ

พร้อมค่าภาษีน้ำมันเชื้อเพลิงและค่าภาษีสนามบินทุกแห่งตามรายการทัวร์ข้างต้น

ค่าโรงแรมที่พักตามรายการที่ระบุ (สองท่านต่อหนึ่งห้อง) **

ค่าเข้าชมสถานที่ต่างๆ ตามรายการที่ระบุ และพระ มัคคุเทศก์ ดูแลตลอดรายการ

ค่าอาหารและเครื่องดื่มตามรายการที่ระบุ

ค่ารถรับส่งและระหว่างนำเที่ยวตามรายการที่ระบุ

ค่าประกันอุบัติเหตุคุ้มครองในระหว่างการเดินทาง คุ้มครองในวงเงินท่านละ 1,500,000 บาท

ค่ารักษาพยาบาลกรณีเกิดอุบัติเหตุวงเงินท่านละ 2,000,000 บาท ตามเงื่อนไขของกรมธรรม์

 

เงื่อนไขการสำรองที่นั่ง

กรุณาจองล่วงหน้าอย่างน้อย 4 เดือน (ส.ค)ก่อนการเดินทางและโอนเงินมัดจำ 20,000 บาท (ที่นั่งจะยืนยันเมื่อได้  รับเงินมัดจำแล้วเท่านั้น)หากต้องยื่นวีซ่า ต้องเตรียมเอกสารยื่นวีซ่าให้เรียบร้อยภายใน 2-3 วันหลังจากทำการจองแล้ว เพื่อจะได้ดำเนินการต่อไป

การชำระค่าเดินทางส่วนที่เหลือจะเรียกเก็บภายใน 30 ตุลาคม ท่านควรจัดเตรียมค่าเดินทางให้เรียบร้อยก่อนกำหนดเนื่องจากต้องสำรองค่าใช้จ่ายในส่วนของค่าที่พัก ตั๋วเครื่องบินและ การเดินทางมิฉะนั้นจะถือว่าท่านยกเลิกการเดินทางโดยอัตโนมัติ

 

เงื่อนไขการยกเลิกการเดินทาง

แจ้งยกเลิกก่อนเดินทาง 3 เดือน คืนค่าใช้จ่ายทั้งหมด

แจ้งยกเลิกก่อนเดินทาง 2 เดือนเก็บค่าใช้จ่ายท่านละ 20,000 บาท

แจ้งยกเลิกน้อยกว่า 1 เดือนก่อน เดินทาง  ขอสงวนสิทธิ์เก็บค่าใช้จ่ายทั้งหมด

ขอสงวนสิทธิ์ในการเก็บค่าใช้จ่ายทั้งหมดกรณีท่านยกเลิกการเดินทางและมีผลทำให้คณะเดินทางไม่ครบตามจำนวน 20 ที่กำหนดไว้ (20ท่านขึ้นไป) เนื่องจากเกิดความเสียหายต่อผู้เดินทางท่านอื่นที่เดินทางในคณะเดียวกันที่ต้องนำไปชำระค่าเสียหายต่างๆที่เกิดจากการยกเลิกของท่าน

กรณียื่นวีซ่าแล้วไม่ได้รับการอนุมัติวีซ่าจากทางสถานทูต (วีซ่าไม่ผ่าน) และท่านได้ชำระค่าเดินทางหรือมัดจำมาแล้ว เราจะ คืนค่าทัวร์หรือมัดจำให้ แต่ขอสงวนสิทธิ์ในการหักค่าบริการยื่นวีซ่า, ค่าวีซ่า และค่าใช้จ่ายบางส่วนที่เกิดขึ้นจริงเป็นกรณีไป (อาทิ กรณีออกตั๋วเครื่องบินไปแล้ว หรือได้ชำระค่าบริการในส่วนของทางเมืองนอกเช่น โรงแรม ฯลฯ) จึงต้องหักเก็บค่าใช้จ่ายจริงที่เกิดขึ้นแล้วกับท่านเป็นกรณีไป

กรณีวีซ่าผ่านแล้ว แจ้งยกเลิกก่อนหรือหลังออกตั๋วโดยสาร ขอสงวนสิทธิ์ในการ ไม่คืนค่าเดินทางทั้งหมด

กรณีวีซ่าผ่านแล้ว แต่กรุ๊ปออกเดินทางไม่ได้ เนื่องจากผู้เดินทางท่านอื่นในกลุ่มโดนปฏิเสธวีซ่า หรือไม่ว่าด้วยสาเหตุใดๆก็ตาม ขอสงวนสิทธิ์ในการหักเก็บค่าใช้จ่ายจริงที่เกิดขึ้นแล้วกับท่านเป็นกรณีไป

กรณีผู้เดินทางไม่สามารถเข้า-ออกเมืองได้ เนื่องจากเอกสารปลอมหรือการห้ามของเจ้าหน้าที่ไม่ว่าเหตุผลใดๆ ก็ตามขอสงวนสิทธิ์ในการ ไม่คืนค่าใช้จ่ายทั้งหมด

ในการเดินทางเป็นหมู่คณะ ผู้โดยสารจะต้องเดินทางไป-กลับพร้อมกัน  การจัดที่นั่งของกรุ๊ป เป็นไปโดยสายการบินเป็นผู้กำหนด ซึ่งเราไม่สามารถเข้าไปแทรกแซงได้ และในกรณียกเลิกการเดินทาง และได้ดำเนินการ ออกตั๋วเครื่องบินไปแล้ว (กรณีตั๋ว REFUNDได้) ผู้เดินทางต้องรอ REFUND ตามระบบของสายการบินเท่านั้น

เมื่อได้สำรองที่นั่งพร้อมชำระเงินมัดจำค่าตั๋วเครื่องบินแล้ว หากท่านยกเลิกการเดินทาง ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใด ทางบริษัทขอสงวนสิทธิ์การเรียกเก็บค่ามัดจำตั๋วเครื่องบิน ซึ่งมีค่าใช้จ่าย ประมาณ 9,000-10,000 บาท

หากตั๋วเครื่องบินทำการออกแล้ว แต่ท่านไม่สารถออกเดินทางได้ ขอสงวนสิทธิ์เรียกเก็บค่าใช้จ่ายตามที่เกิดขึ้นจริง

 

*  รายการเดินทางอาจปรับเปลี่ยนบ้างตามความจำเป็นและสถานการณ์นะครับ  *

วันพุธที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2565

ประเพณีวันสารทเดือนสิบ


 ประเพณีวันสารทเดือนสิบ

การทำบุญวันสารทเดือนสิบ หรือภาษาท้องถิ่นเรียกว่า วันชิงเปรตนั้นในเดือนสิบ(กันยายน)
วันสารท เป็นวันที่ถือเป็นคติและเชื่อสืบกันมาว่า ญาติที่ล่วงลับไปแล้ว จะมีโอกาสได้กลับมารับส่วนบุญจากญาติพี่น้องที่ยังมีชีวิตอยู่ ดังนั้น จึงมีการทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ญาติในวันนี้และเชื่อว่า หากทำบุญในวันนี้ไปให้ญาติแล้วญาติจะได้รับส่วนบุญได้เต็มที่และมีโอกาสหมดหนี้กรรม และได้ไปเกิดหรือมีความสุข
มีการทำบุญที่วัด 2 ครั้ง
ครั้งแรก วันแรม 1 ค่ำ เดือนสิบเรียกว่า วันรับเปรต
ครั้งที่สองวันแรม 15 ค่ำ เดือนสิบเรียกว่า วันส่งเปรต
การทำบุญทั้งสองครั้งเป็นการทำบุญที่แสดงถึงความกตัญญูต่อบุพการีผู้ล่วงลับไปแล้วโดยอุทิศส่วนกุศลไปให้วิญญาณของบรรพบุรุษที่ตกอยู่ในเปรตภูมิเป็นคติของศาสนาพราหมณ์ที่ผสมในประเพณีของพุทธศาสนา พุทธศาสนิกชนนิยมไปทำบุญ ณ วัดที่เป็นภูมิลำเนาของตนเพื่อร่วมพิธีตั้งเปรตและชิงเปรตอาจสับเปลี่ยนกันไปทำบุญ ณ ภูมิลำเนาของฝ่ายบิดาครั้งหนึ่งฝ่ายมารดาครั้งหนึ่งจึงทำให้ผู้ที่ไปประกอบ อาชีพจากถิ่นห่างไกลจากบ้านเกิดได้มีโอกาสได้กลับมาพบปะสังสรรค์และ รู้จักวงศาคณาญาติเพิ่มขึ้น
ขนมเดือนสิบ จัดขึ้นโดยเฉพาะใช้ในโอกาสทำบุญเดือนสิบ ที่จำเป็นมี 5 อย่าง คือ
1.ขนมลา เป็นสัญลักษณ์แทนเสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่ม
2.ขนมพอง เป็นสัญลักษณ์แทนแพ สำหรับญาติผู้ล่วงลับใช้เดินทาง
3.ขนมกง ( ขนมไข่ปลา ) เป็นสัญลักษณ์แทนเครื่องประดับ
4.ขนมเจาะรูหรือขนมเจาะหูหรือขนมเบซำ เป็นสัญลักษณ์แทนเงินสำหรับใช้จ่าย
5. ขนมบ้า เป็นสัญลักษณ์แทนสะบ้า สำหรับใช้เล่นสะบ้าในวันสงกรานต์
ครั้งแรก วันแรม 1 ค่ำ เดือนสิบเรียกว่า วันรับเปรต
ครั้งที่สองวันแรม 15 ค่ำ เดือนสิบเรียกว่า วันส่งเปรต ชาวบ้านจัดภัตตาหารไปทำบุญที่วัดชาวบ้านเรียกวันนี้ว่าวันชิเปรตเป็นวันที่ยมบาลเปิดนรกปล่อยเปรตชนมาเยี่ยมลูกหลาน ลูกหลานก็ทำบุญต้อนรับครั้งหนึ่งใน วันแรม 15 ค่ำเดือนสิบเรียกว่าวันส่งเปรตเป็นวันที่เปรตชนต้องกลับยมโลก ลูกหลานก็จะทำบุญเลี้ยงส่งอีกครั้งหนึ่ง

1.การตักบาตร
มีลักษณะที่แตกต่างกันไปในลักษณะที่แตกต่างกันไปในแต่ละท้องถิ่นนั้น ๆ
การตักบาตรที่สำคัญในแต่ละท้องถิ่นได้แก่

ตักบาตรขนมกระยาสารท
ขนมกระยาสารทเป็นขนมประจำวันสารทในทุกท้องถิ่นของประเทศไทย ซึ่งจะขาดเสียมิได้ด้วยมีความเชือที่ว่า ถ้าไม่ได้ใส่บาตรขนมกระยาสารทในวันสารทไทยแล้ว ญาติผู้ล่วงลับก็จะไม่ได้ส่วนบุญส่วนกุศลที่กระทำในวันนั้น ขนมกระยาสารทมีส่วนประกอบ คือ ข้าวตอก ข้าวเม่า ถั่ว งา และน้ำตาล นำทั้งหมดมากวนเข้าด้วยกัน เมื่อสุกแล้วจึงนำมาปั้นเป็นก้อนกลม หรือจะตัดเป็นแผ่นก็ได้

ตักบาตรน้ำผึ้ง
เป็นที่นิยมในบางท้องถิ่นเท่านั้น โดยส่วนใหญ่มักเป็นชาวไทยมอญ ที่นิยมตักบาตรน้ำผึ้ง ประเพณีการตักบาตรน้ำผึ้ง เนื่องจากมีเรื่องเล่าตามพุทธประวัติว่า "ในสมัยพุทธกาลพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จจำพรรษา ณ ป่าปาริไลยก์ เพียงพระองค์เดียว แต่มีผู้ถวายอุปัฏฐากเป็นช้างปาริเยยกะ เป็นผู้คอยถวายน้ำสำหรับอุปโภคบริโภค และลิงเป็นผู้หาผลไม้มาถวาย วันหนึ่งลิงได้นำน้ำผึ้งมาถวาย การถวายน้ำผึ้งจึงเป็นประเพณีปฏิบัติตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา"

2.ฟังธรรมเทศนา
3.ถือศีลภาวนา
4.ปล่อยนกปล่อยปลา
:ฐิตรโส
ไม่มีคำอธิบายรูปภาพ
คุณ, Baew Preeyanont, Saranya Sartsasi และ คนอื่นๆ อีก 44 คน
ความคิดเห็น 8 รายการ
แชร์ 14 ครั้ง
แชร์