วันอังคารที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2563

มะเร็งเพื่อนรัก


 
มะเร็งเพื่อนรัก

วันก่อนมีเพื่อนกัลยาณมิตรท่านหนึ่งมาฟังธรรมะจากพระโอษฐ์ เธอบอกว่าเธอไปตรวจร่างกายมาพบว่าเป็นมะเร็งปอดและกระจายไปที่ตับแล้ว เธอมาปรึกษาว่าต้องทำอย่างไรดี?
1.การเป็นมะเร็งไม่ใช่เรื่องร้ายเสมอไป เพราะไม่ว่าจะรักษาหายหรือไม่หาย เราก็ต้องตายเหมือนกัน แต่เราโชคดีที่เขามาเตือนเราแล้ว อาศัยโอกาสดีๆเช่นนี้รีบเร่งภาวนา ศึกษากายและใจนี้ ให้เห็นตามที่เป็นจริง ตามที่พระพุทธองค์ได้ทรงชี้แนะและอธิบายไว้อย่างละเอียดยิ่ง ถ้าสามารถรู้เห็นตามนั้นได้ ความทุกข์จะมาจากไหน?
2.มะเร็งช่วยให้เราเร่งทำบุญ หลายๆคนทำบุญเพื่อหวังผลเช่นนั้นบ้างเช่นนี้บ้าง ปัจจุบันบ้างอนาคตบ้าง เบื้องต้นก็เป็นเช่นนั้นได้ แต่จุดประสงค์ของบุญนั้น เพื่อลด ละ กิเลส ตัณหา และอุปทาน ที่ยึดหลงในตัวในตนของเรานี้ลง นั่นจึงเป็นผลของบุญที่ทำให้เกิดความสุขในขณะที่กระทำแล้ว มิต้องรอผลบุญในอนาคตอีก และสำหรับผู้ที่ต้องการทำบุญ ควรทราบว่าบุญทำได้อย่างไรบ้าง จึงควรทราบ บุญกิริยาวัตถุทั้ง10ข้อ ที่เป็นการกระทำให้เกิดบุญได้
3.รักษามะเร็งทั้งกายและใจ นอกจะรักษามะเร็งตามแนวทางของแพทย์(ไม่ว่าจะแผนไหนๆ) ก็ควรรักษาใจของตนเองให้ไม่ทุกข์ไปกับร่างกายด้วย และยังรวมถึงการคิดคำนึง ห่วงใยผู้คนรอบข้างของเราด้วย เพื่อมิให้เขาทุกข์กายทุกข์ใจไปกับเราด้วย เราจะได้เห็นน้ำใจของผู้คนรอบข้างเราก็ตอนนี้
4.มะเร็งทำให้เราเห็นค่าของชีวิต ปกติเรามักใช้ชีวิตไปวันๆ ลืมคุณค่าของเวลาที่ผ่านไป แต่คุณมะเร็งผ่านมา วันเวลาที่เหลือจึงมองเห็นคุณค่าเพิ่มขึ้นอีกมากมาย เราจะทำอะไรดีนะสำหรับเวลาที่เหลือในชีวิตนี้ แต่ละคนอาจแตกต่างกัน แต่เชื่อเถอะเราจะใช้มันอย่างคุ้มค่าแน่นอน
5. การรักษาพยาบาล แนวทางการรักษามะเร็งมีแตกต่างกันมากมาย จากระยะต้นๆจนระยะสุดท้าย โอกาสหายก็แตกต่างกันไปด้วยเช่นกัน ระยะต้นๆก็คงไม่เท่าไร แต่พอระยะท้ายๆ การตัดสินใจในแนวการรักษาก็จะยากขึ้นๆ ทั้งแพทย์และผป.(รวมทั้งผู้คนรอบข้าง) จะรักษาแนวไหนดี? เพราะรักษาก็อาจไม่หาย หรืออาจทรมานมากขึ้น ถ้าจะเลือกก็ขอให้รักษากายพอที่จะอยู่ได้อย่างมีสติ ไม่ทุกข์ทรมานมากไป ได้มีโอกาสใช้เวลาที่เหลืออย่างมีความสุขอย่างที่ต้องการ นอกจากความคิดห่วงใยกายแล้ว จิตใจของผู้ป่วยก็สำคัญมากๆเช่นกัน ทำอย่างไรให้ผป.มีความสุข นอกจากให้โอกาสผป.ทำบุญเองแล้ว คนรอบข้างยังต้องช่วยไม่ให้ผป.ทุกข์เพิ่มขึ้นอีก เช่นการทะเลาะโต้เถียงขัดใจ ฯ เอาใจกันหน่อย และหาทางชี้นำทางที่ให้เธอได้มีความสุขจริงๆในบั้นปลายของชีวิตนี้
6.หัดว่ายน้ำก่อนจะตกน้ำ เวลาตายนั้นเรามักเห็นผป.ทุกข์ทรมาณอย่างมาก ครูบาอาจารย์ก็บอกเราเช่นเดียวกัน ท่านให้เราฝึกตายก่อนตาย ทุคืนก่อนจะนอนมาฝึกตายกัน คนทั่วไปอาจไม่สนใจแต่ผป.มะเร็งจะมีกำลังใจฝึกมากกว่าผู้อื่น ถ้าเราแยกกาย/ใจนี้ออกยังไม่ได้ อย่างน้อยก็ต้องฝึกพิจารณา คุณงามความดีที่เราได้ทำก่อนนอน เช่นทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนา หลังสวดมนต์ไหว้พระก่อนนอนก็มาคิดพิจารณาว่าวันนี้ทำความดีอย่างไรบ้าง เราก็จะมีความสุขจากบุญที่ทำอีกครั้งจิตใจก็จะชุ่มชื่นจากบุญนั้น ตายไปตอนนี้ก็ไม่น่ากลัวแล้ว แต่ถ้าเราทำไม่ดีเช่นทำไม่ดีกับเพื่อน ถ้าโทรขอโทษเขาได้ก็โทรเลย หรือถ้าเป็นเรื่องที่แก้ไขไม่ได้ก็ตั้งใจจะไม่ทำผิดอีกต่อไป ขออโหสิกรรมกับเขาและขออโหสิกรรมกับตนเองเสีย ใจก็จะเบา เบิกบานใจ- ตายยอนนี้ก็ยังดี พอฝึกเช่นนี้ทุกวันๆ ก็เหมือนกับฝึกว่ายน้ำ เมื่อถึงเวลาตกน้ำเราก็ไม่กลัวแล้วสามารถว่ายไปยังที่ที่ต้องการได้แล้ว ก็หมายความว่า เวลาเราจะตายเราก็ไม่มีสิ่งใดต้องกลัวแล้ว เราไม่ติดค้างใดๆกับใครแล้ว มั่นใจในบุญกุศลที่ทำไว้ จิตใจก็เบาสบาย จะกลัวตายไปทำไม จิตดวงนี้ไม่ตาย จิตดวงนี้กับกายนี้ก็คือจิตดวงเดียวกับร่างที่จะเกิดในภพหน้า ตอนนี้เป็นสุขด้วยบุญกุศลแล้ว ชาติหน้าย่อมเป็นสุขสบายเช่นเดียวกัน กลัวไปใย เช่นเดียวกับผู้ว่ายน้ำเป็นแล้วย่อมไม่ต้องกลัวตกน้ำแล้ว
สรุป
ได้มีโอกาสพูดคุยกับผู้ป่วยมะเร็งบ่อยขึ้นๆ บางคนเป็นเอง บางคนเป็นเพื่อนเป็นญาติของผู้ป่วยมะเร็ง ทำให้เห็นจริงตามคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าที่ว่าร่างกายนี้เป็นรังของโรค เพราะไม่เพียงแต่มะเร็ง โรคอื่นๆก็สามารถเกิดขึ้นมากมาย เมื่อเข้าใจแล้ว กายนี้ก็เป็นเพียงอุปกรณ์ สร้างความสุขให้จิตใจ(สร้างบุญสร้างกุศล ให้สุขในชาตินี้ และเป็นเสบียงในภพหน้าต่อๆไป)
เมื่อสามารถแยก กายและใจนี้ออกจากกัน ไม่ว่ากายนี้จะผุพังเสียหายไปอย่างไร ใจนี้ก็ยังสงบสุขอยู่ได้เสมอ ขอความสุขกายสุขใจ จงมีแด่เพื่อนร่วมโรคทั้งหลาย ด้วยความรัก ความปรารถนาดีจากใจ



ไม่มีความคิดเห็น: