วันพฤหัสบดีที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2553
ประชุมคณะสงฆ์วัดป่าบ้านตาด30พย.
เรื่อง รายงานการอาพาธของพระธรรมวิสุทธิมงคล หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
วันที่ 30 พฤศจิกายน 2553
เมื่อคืนท่านนอนพักผ่อนได้บ้าง มีเหนื่อยหอบเกือบตลอดคืน ต้องอาศัยออกซิเจนใส่ไว้ตลอดคืน ถ่ายปัสสาวะ2ครั้ง รวมประมาณ 160cc ไม่ถ่ายอุจจาระ เมื่อวานมีน้ำเข้า 2320cc น้ำออก 1662 cc
ตอนตีสามท่านรู้สึกหนาวสั่น คล้ายเป็นไข้ ตรวจร่ายกาย BT 35.3 c, HR 80, RR 22, O2 sat 99%
เช้า 08.30น. คณะแพทย์กราบขอทำแผลที่นิ้วเท้า แผลดีขึ้นมากขอบแผลเล็กลงและเริ่มมีเนื้อเยื่อขึ้นมาคลุมกระดูกส่วนที่เห็นอยู่แล้ว เมื่อทำแผลเสร็จท่านเหนื่อยและไม่อนุญาตให้คณะแพทย์ตรวจร่างกาย
09.00น. ประชุมคณะแพทย์
สรุป 1.พยาธิสภาพของการเกิดอาพาธขององค์หลวงตา
-ไม่ทราบสาเหตุชัดเจน
- ปลายตับอ่อนอับเสบ ( ผลเลือดมีค่า Amylase และ Lipase สูงขึ้นในระยะแรกและค่อยๆลดลง)
อาจมีผังพืดหรือก้อนเนื้องอก ที่ทำให้เกิดการอุดตันของลำไส้บริเวณนั้น (D-J junction)
-ก้อนเนื้องอก (มีผล CEA, CA19-9ในเลือด สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง)
2.แนวทางการรักษา
-ใช้สายนำของเสียออกจากกระเพาะ/ลำไส้ ผ่านทางจมูก หรืออาจทางหน้าท้อง
-ส่องกล้องไปตรวจดูบริเวณลำไส้ที่อุดตันเพื่อหาสาเหตุและวางสายให้สารอาหารผ่านบริเวณอุดตันให้ท่านสามารถรับสารอาหารได้ผ่านทางสายที่ใส่ทางจมูก/หน้าท้อง
3.ปัญหาเฉพาะหน้า
-การที่เลือดมีเม็ดเลือดขาวสูงมากขึ้น คาดว่าท่านคงมีการติดเชื้อ
คณะแพทย์จึงต้องถวายยาปฏิชีวนะอีกครั้ง เมื่อวันที่29พ.ย. หลังได้ผลเลือด
รวมทั้งการปรับค่าสารเกลือแร่ ต่างๆให้เหมาะสมด้วย
-ท่านมีอาการเหนื่อยหอบมาก คณะแพทย์จึงได้วางแผนทำ X-Ray ปอดและทำช่องท้องไปด้วย
-ถ้าท่านยังมีการอุดตันของลำไส้อยู่ จะกราบขอให้ท่านงดน้ำและอาหารต่อ รวมทั้ง
พยายามใส่สายเพื่อดูดเอาของเสียในกระเพาะออกมา
4.ปรึกษาหาแนวทางการรักษาร่วมกันกับคณะสงฆ์
10.30น. การประชุมร่วมคณะแพทย์และคณะสงฆ์วัดป่าบ้านตาด (กุฏิ หลวงปู่ลี)
โดยมีคณะแพทย์จากรพ.ศิริราช มี อจ.นพ.นิพนธ์, อจ.นพ.สถาพรและ อจ.นพ.สุชาย
จากรพ.ศรีนครินทร์ อจ.นพ.ชาญชัย, อจ.พญ.จิราภรณ์ และ อจ.พญ.วราภรณ์
จากรพ.ศูนย์อุดร อจ.นพ.พิชาติ, อจ.นพ.ธรรมนูญ,อจ.นพ.โอฬาร,อจ.นพ.เจริญและพี่จุฑาารัตน์
คณะสงฆ์มีลป.ลีเป็นประธาน อจ.อินทร์ถวาย วัดป่านาคำน้อย และคณะสงฆ์วัดป่าบ้านตาด
มีพระอจ.สุดใจเป็นประธาน รวมคณะแพทย์ 12ท่าน คณะสงฆ์ 18รูป
สรุป 1.อจ.นพ.นิพนธ์ อธิบายถึงการเกิดพยาธิสภาพของการอาพาธให้คณะสงฆ์ทราบ ว่าจากการตรวจCT-Scan และการตรวจร่างกายองค์ท่านทำให้เชื่อว่ามีการอุดตันของลำไส้เล็กส่วนต้นบริเวณ D-J Junction
(ช่วงต่อระหว่างลำไส้เล็กส่วนต้น ห่างจากปากประมาณ 1.5ม.) การที่มีอุจจาระหรือถ่ายหนักได้นั้นอาจเป็นเพราะลำไส้เล็กส่วนปลายและลำไส้ใหญ่ยังมีกากอาหาร สารคัดหลั่งและเซลที่ตายแล้วขับออกมาได้
กรณีส่วนเหนือจากที่อุดตัน การขับออกปกติกระทำโดยการอาเจียน แต่ถ้าลำไส้หรือกระเพาะขยายตัวมากๆก็ไม่อาจจะขับของเสียออกโดยทางอาเจียนได้เพราะกล้ามเนื้ออาจไม่มีแรงพอ อจ.จึงเสนอให้ใส่สายดูดเอาของเสียในกระเพาะและลำไส้ออก ทั้งนี้ถ้าสามารถทำพร้อมกับการส่องกล้องก็จะสามารถตรวจวินิจฉัยและให้การรักษาควบคู่ไปด้วยกันได้
2.คณะแพทย์เสนอว่า ปัจจุบันมีสัญญาณอันตรายในการตรวจรักษาองค์หลวงตาเนื่องจาก
-สายให้สารอาหารอาหารทางเส้นเลือดใส่มามากกว่าสองสัปดาห์แล้วซึ่งอาจเป็ฯสาเหตุของการติดเชื้อในเลือดได้
-ถ้ามีการอุดตันอยู่จริง ของเสียที่ขังอยู่ในกระเพาะและลำไส้จำนวนมากอาจติดเชื้อได้
-การปล่อยให้เกิดการอุดตันของลำไส้นานๆอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ได้
-คณะแพทย์ยังไม่อาจทราบสาเหตุของการอาพาธครั้งนี้แน่ชัด การจะให้การรักษาที่ถูกต้องเหมาะสมทันเวลากระทำได้ยากมากจึงจำเป็นต้องได้ข้อมูลมากที่สุดที่จะมากได้
3.ข้อเสนอจากทางคณะแพทย์
-เสนอให้ใส่สายให้อาหาร/ดูดของเสียออกจากกระเพาะทางหน้าท้อง
เพราะกระทำได้ง่ายมีผลข้างเคียงน้อย และไม่รบกวนกิจวัตรขององค์ท่าน
4.คณะสงฆ์มีข้อสังเกตในการรักษาของคณะแพทย์ ซึ่งได้แก่การสงสัยในการตรวจวินิจฉัย
และพยาธิสภาพของการอาพาธขององค์ท่านดังนี้
-การที่ลำไส้อุดตันได้ก็น่าจะหายเองได้ เพราะได้สังเกตจากอาการต่างๆ ขององค์ท่านเช่น
มีการฉันอาหารได้แล้ว ไม่มีอาเจียนออกมา แต่เริ่มมีการถ่ายอุจจาระได้
-การตรวจCT Scan ทำตั้งแต่วันศุกร์ที่แล้ว ปัจจุบันน่าจะเปลี่ยนแปลงไปแล้ว
ลำไส้อาจไม่อุดตันแล้วก็ได้
-คณะสงฆ์เสนอให้ตรวจวินิจฉัยอีกครั้ง ให้แน่ใจว่ายังมีการอุดตันของลำไส้อยู่อีกหรือไม่
เช่นการทำ CT Scanซ้ำ การทำX-Ray หรือการตรวจด้วยU/S
-ในกรณีที่ตรวจแล้วพบว่ายังมีการอุดตันจริง คณะสงฆ์จะพิจารณาเรื่องการรักษา
ตามที่คณะแพทย์เสนออีกครั้ง
5.คณะแพทย์รับข้อเสนอแนะของคณะสงฆ์ แต่ก็ยังคาดว่าลำไส้ยังอุดตันอยู่
12.00น. คณะแพทย์ตรวจร่างกายองค์หลวงตาอีกครั้ง พบว่ามีไข้สูง 38.0
หน้าท้องไม่ตึงอ่อนนุ่มไม่แน่นตึง เสียงการทำงานของลำไส้ปกติ BS +ve
เสียงน้ำในช่องท้องที่เคยมีหายไป จึงได้ถวายยาแก้ไขฉีดถวายทางเส้น
หลังจากท่านสบายขึ้น คณะแพทย์จึงได้กราบขอตรวจองค์ท่านด้วย X-Ray และ U/S
รวมทั้งการเปลี่ยนสายให้อาหารทางเลือดใหม่จากทางด้านซ้ายไปด้านขวา โดยเชิญ
แพทย์จากรพ.ศรีนครินทร์มาดำเนินการให้
14.00น. คณะแพทย์ถวายการตรวจรักษาด้วย X-RAY บริเวณ ปอดและช่องท้องเสร็จแล้ว ทำการตรวจด้วยU/S ดูลักษณะของลำไส้และกระเพาะรวมทั้งตับอ่อนที่เป็นสาเหตุการอุดตันในครั้งนี้เมื่อคณะแพทย์จากศรีนครินทร์พร้อมเปลี่ยนสายให้อาหาร จึงได้เปลี่ยนและเก็บปลายสายส่งตรวจหาเชื้อต่อไป และใช้U/S ตรวจสอบตำแหน่งว่าสายที่ใส่ว่าถูกต้องหรือไม่
16.00น. สรุปการประชุม
1.ผล X-Ray และ U/S แสดงให้เห็นว่าปัจจุบันกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กขององค์ท่านเริ่มทำงานแล้ว ของเสียที่เคยค้างอยู่ในกระเพาะและลำไส้หายไปกว่าครึ่ง แสดงว่าผ่านจุดอุดตันไปแล้ว บริเวณที่เคยบวมก็ยุบลงแล้วโดยเฉพาะที่ปลายของตับอ่อนยุบลงและเห็นเป็นลักษณะคล้ายCyst ที่สามารถพบได้หลังการอักเสบของตับอ่อน (น่าจะแสดงว่าอาพาธครั้งนี้มาจากการอักเสบของตับอ่อนและที่ลำไส้อุดตันคงมีผลจากการบวมของตับอ่อนส่วนปลาย) ผลX-Rayยืนยันว่ากระเพาะและลำไส้เริ่มทำงานแล้วและมีผนังค่อนข้างหนาจากผลการอักเสบที่ผ่านมา ปอดทั้งสองข้างค่อนข้างปกติ มีน้ำอยู่เล็กน้อยในปอดซ้าย
2.เนื่องจากองค์ท่านมีไข้ มีเม็ดเลือดขาวสูงขัน มีอาการหนาวสั่น แสดงให้เห็นว่ามีการติดเชื้อ การติดเชื้อที่พบน่าจะมาจากสายให้สารอาหารทางเส้นเลือด ซึ่งคณะแพทย์ได้เอาออกและเปลี่ยนใหม่แล้ว รวมทั้งให้ยาปฏิชีวนะครอบคลุมเชื้อที่น่าจะเป็นแล้วรวมทั้งเชื้อราที่อาจทำให้เกิดการติดเชื้อได้เช่นกัน ทั้งนี้เรายังได้ส่งปลายสายเดิม เลือด ปัสสาวะ อุจจาระ ไปตรวจ ในกรณีที่พบข้อมูลว่าการติดเชื้อเกิดจากทางใดจะได้ปรับแต่งการรักษาให้เหมาะสมต่อไป แต่ที่ต้องระวังคือการแพ้หรือปฏิกิริยาขององค์ท่านต่อยาทุกชนิด ซึ่งพบอยู่เสมอทุกครั้งที่ให้ยา
3.การที่ลำไส้เริ่มทำงาน การให้น้ำและอาหารจะต้องเริ่มจากอาหารเหลวไม่มีกากไม่มีคราบ/ตะกอนก่อน1-2วันหลังจากนั้นจึงให้เป็นของเหลวมี่ข้นขึ้นอีก2-3วันจึงให้เป็นอาหารอ่อนเช่นข้าวต้ม ปลานึ่ง ก๋วยเตียว/วุ้นเส้น ต่อไป เหมือนในรายงานวันที่23พย. รวมทั้งต้องระวังการเกิดท้องเสียหลังลำไส้ทำงานในระยะแรกๆด้วย
รายการอาหารถวายท่านอาจารย์พระมหาบัว ญาณสัมปันโน ในระยะนี้
2-3 วันแรก ควรเป็นอาหารเหลวใส รสไม่เปรี้ยว ไม่มัน ตัวอย่างเช่น
เช้า น้ำซุป หรือน้ำข้าวใส น้ำรากบัว หลังเพล น้ำปานะรสไม่เปรี้ยว น้ำหวาน น้ำตาลสด
***** ห้ามถวายช็อคโกแลต, เนย, เนื้อสัตว์, ของทอด, ของมันๆต่างๆ*****น้ำตาลสดควรเป็นของใหม่ที่ไม่ได้เก็บค้างไว้ (ไม่บูด)
*****น้ำข้าวควรต้องกรองให้ใสก่อนถวาย (ถ้ามีการอาเจียนจะได้ตรวจสอบได้ว่ามาจากสิ่งใด)
*****ควรงดอาหารรสเปรี้ยวทุกชนิด (ป้องกันมิให้ลำไส้ทำงานผิดปกติเข่นบีบตัวมากเกินไป)
หลังสามวันไปแล้วถ้าฉันอาหารเหลวได้ดีไม่มีอาการอาเจียน และถ่ายอุจจาระได้ ให้ถวายอาหารอ่อนย่อยง่าย
ตัวอย่างเช่นข้าวต้มเหลว โจ๊ก ต้มวุ้นเส้น เนื้อปลา นึ่ง
การถวายสารอาหารบำรุงทุกวัน โดยให้ถวายอาหารเสริมทางการแพทย์ เช่น Peptamin เปปตาเมน หรือISOCAL ไอโซคาว
2-3 ช้อนตวงผสมน้ำ ครึ่ง ถึง หนึ่งแก้วที่กุฏิ ประมาณ200-300cal ต่อแก้ว
ก่อนไปที่ศาลาฉันอาหาร เหมือนในสมัยพุทธกาลที่พระฉันน้ำข้าวยาคูตอนเช้าก่อนไป บิณฑบาต
4.การตรวจติดตามผลหลังจากท่านหายจากอาการลำไส้อุดตัน เช่นX-Ray, U/S, และ/หรือ
CT-Scan รวมทั้งค่าของเลือดที่ปกติเช่น CEA, CA 19-9 เมื่อสามารถกระทำได้
5.คณะแพทย์ต้องกราบขอขมาคณะสงฆ์ ในการรักษาองค์หลวงตาในครั้งนี้เป็นอย่างมาก โยเฉพาะครั้งนี้ถ้าคณะส่งไม่มีความประสงฆ์ให้ตรวจสอบข้อมูลองค์ท่านใหม่ เราก็จะไม่ทราบเลยว่าลำไส้ท่านเริ่มทำงานแล้ว เป็นปาฏิหาริย์ที่องค์ท่านแสดงให้พวกเราคณะศิษย์ได้ทราบว่าเมื่อเราเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันก็จะเป็นพลังให้ท่านได้อยู่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรเราตลอดไป อย่าให้พวกเราได้พลาดอย่างเช่นการรักษานิ้วเท้าองค์ท่านที่เราขาดการปรึกษาหารือร่วมกันอีก ในการตัดสินใจที่ผ่านมาเราได้มีการแจ้งให้ทางคณะสงฆ์ทราบแนวทางการรักษาที่คณะแพทย์เสนอให้คณะสงฆ์ตัดสินใจเสมอมา การประชุมร่วมกันเพื่อแสดงความคิดเห็นนั้นอาจเป็นการลำบากเพราะพระทุกรูปมีกิจที่ต้องรับผิดชอบอยู่ แต่ในการตัดสินใจในครั้งนี้คณะสงฆ์ได้เมตตาให้ความสำคัญร่วมประชุมหาลือแสดงความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์อย่างมากทำให้การรักษาประสพผลสำเร็จอย่างดียิ่งทั้งนี้พระสงฆ์อยู่ใกล้ชิดกับองค์ท่านมากกว่าคณะแพทย์ ข้อมูลที่ทางคณะสงฆ์มีอยู่คณะแพทย์มิอาจทราบได้ทั้งหมดเช่น อาหาร ยาฯลฯ ที่ท่านได้รับ อาการแสดงต่างๆที่ท่านแสดงออกในบางเวลา ความคิดเห็นขององค์ท่านต่อการรักษา เพราะความยิ่งใหญ่แห่งองค์ท่านนั้น ทางคณะแพทย์ปรากฏชัดในจิตใจตลอดมา ท่านเข้าใจองค์ท่านดียิ่งกว่าผู้หนึ่งผู้ใด การแสดงออกหรือความคิดเห็นของท่านเมื่อคณะแพทย์รับทราบก็จะปฏิบัติตามทุกครั้ง ข้อมูลเหล่านี้จึงจำเป็นอย่างยิ่งในการตัดสินใจวางแผนการรักษา คณะแพทย์ในฐานะที่ปรึกษาในการถวายการรักษาองค์หลวงตาก็จะเสนอสิ่งที่ดีที่สุดในความเห็นร่วมกันทุกฝ่ายไม่ว่าจะเป็นแพทย์แผนใดๆ เพื่อแสดงออกถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันขอศิษย์ทุกคนที่มีใจเป็นหนึ่งต่อองค์ท่าน เสร็จแล้วจึงนำขึ้นกราบถวายรายงานแก่คณะสงฆ์เพื่อถวายการรักษาองค์ท่านต่อไป กระประชุมร่วมในครั้งนี้เป็นนิมิตหมายที่ดีที่สุดในฐานะศิษย์ขององค์ท่านที่แสดงถึงความสมัครสมานสามัคคีกันเพี่อผลการรักษาที่ดีที่สุดถวายองค์ท่าน
คณะแพทย์จึงจะต้องปรับปรุงตัวและรับฝังความคิดเห็นจากสงฆ์ทุกรูปมากยิ่งขึ้นแม้แต่จะเป็นเรื่องเล็กน้อยอย่างไร ข้อสังเกตของคณะสงฆ์จะต้องเป็นสิ่งสำคัญยิ่งต่อคณะแพทย์และศิษย์ทุกคนเสมอ โดยที่คณะสงฆ์สามารถแจ้ข้อมูลทุกอย่างให้คนหนึ่งคนใดในคณะแพทย์ได้ตลอดเวลา
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น