ธรรมะจากพระโอษฐ์
15กค.61
ธรรมะสำหรับฆราวาส
1.ปราภวสูตร-เทวดามาถามปัญหาเรื่องเหตุแห่งความเสลื่อมและความเจริญ
เช่นเหตุแห่งความเสลื่อม คือคบอสัตตบุรุษ,
หยิ่ง กระด้าง,เป็นนักเลง,ทุศีล,ทำตัวไม่สมฐานะ, ชอบนอน ชอบคุย ไม่หมั่น เกียจคร้าน โกรธง่าย,ไม่เลี้ยงดูมารดาบิดา เป็นต้น
2. อัคคัปปสาทสูตร-ว่าด้วยความเลื่อมใสในสิ่งที่เลิศ ได้แก่ผู้ที่เลื่อมใสใน พระพุทธเจ้า,อริยมรรคมีองค์ 8,วิราคะ (ความคลายกำหนัด),พระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า ย่อมได้สิ่งที่เลิศคืออายุ
วรรณะ ยศ เกียรติ สุข และพละ ( เป็นบทให้พรของพระสงฆ์ด้วย)
3.สพรหมกสูตร-มารดาบิดาคือพรหมของบุตร จึงควรสักการะบิดามารดานั้นด้วยข้าว น้ำ ผ้า
ที่นอน การให้อาบน้ำ และการล้างเท้า เพราะมารดาบิดานั้นมีบุญคุณต่อบุตรเสมอด้วยพรหม ผู้ดูแลมารดาบิดาตายไปแล้วย่อมบันเทิงในสวรรค์
4.
นิรย ปตติสูตร กรรม-ผลของกรรม เข่น โลภะ-ไปเป็นเปรต,โทษะ-ไบนรก,โมหะ-ไปเป็นเดรัจฉาน ส่วนศีลไปสู่สวรรค์ สมถกรรมฐาน-พหรม,วิปัสสนากรรมฐาน-นิพพาน
5.ปสันนจิตตสูตร-ว่าด้วยบุคคลผู้มีจิตเลื่อมใสในพระรัตนตรัย
ย่อมพาไปสู่สุคติโลกสวรรค์เป็นต้น
6.เทว
จวนสูตร-เทวดาก่อนที่จะจุติจะต้องมีนิมิต ๕ ประการปรากฏขึ้น คือ
๑. ดอกไม้ทิพย์เครื่องประดับเหี่ยวแห้ง
๒. ผ้าทรงเศร้าหมอง
๓. มีเหงื่อไหลออกจากรักแร้สองข้าง
๔. ทิพยอาสน์ คือที่นั่งที่นอนที่เคยสบาย กลับแข็งกระด้าง
๕. ร่างกายเศร้าหมอง รัศมีกายก็พลอยเศร้าหมองด้วย
๑. ดอกไม้ทิพย์เครื่องประดับเหี่ยวแห้ง
๒. ผ้าทรงเศร้าหมอง
๓. มีเหงื่อไหลออกจากรักแร้สองข้าง
๔. ทิพยอาสน์ คือที่นั่งที่นอนที่เคยสบาย กลับแข็งกระด้าง
๕. ร่างกายเศร้าหมอง รัศมีกายก็พลอยเศร้าหมองด้วย
เพื่อนๆเทวดาจะให้พรว่า
ขอให้เกิดในสุขติภพคือมนุษย์ ขอให้มีศรัทธาในพระธรรม
7.สุขปัฏฐานสูตร-ว่าด้วยสุข
ต้องอย่ากลัวบุญ เพราะบุญนำ สุข/ทรัพย์/สวรรค์มาให้
8.ปุญญสูตร-ว่าด้วยผลของบุญที่ทำให้พระพุทธเจ้าได้เกิดเป็นพรหม,ท้าวสักกะ,พระเจ้าจักรพรรดิฯอันมีฤทธิ์มีอานุภาพมาก
เป็นต้นท่านให้หมั่นทำบุญทำทาน-บริจาค/จาคะ,ทมะ-ฝึกฝนตนอดทน,สัญญมะ- สำรวมสังวร
9.ระหว่างการบรรยายท่านได้สอนถึงเรื่องหัวใจเปรต-ทุสะนะโสคือ
ทุ-ทุชชีวิตะชีวิมหาเยสันโน นะทะทามหะเส วิชชะมาเนสุ โภเคสุ ทีปัง นากัมหะอัตตะโน
เมื่อยังเป็นมนุษย์มีโภคทรัพย์มากมาย เราก็ไม่ได้ให้ทาน ไม่ทำที่พึ่งแก่ตัว ทำแต่ความชั่วช้าสารเลว
เมื่อยังเป็นมนุษย์มีโภคทรัพย์มากมาย เราก็ไม่ได้ให้ทาน ไม่ทำที่พึ่งแก่ตัว ทำแต่ความชั่วช้าสารเลว
สะ-สัฏฐีวัสสะหัสสานิ ปะริปุณณานิ สัพพะโส
นิระเย ปัจจะมา-นานัง กะทา อันโตภะวิสสะติ
เราตกนรกหมกไหม้เป็นเวลาหกหมื่นปีแล้วเมื่อไรจะสิ้นเวรสิ้นกรรมเสียที
นะ-นัตถิอันโต กุโต อันโต นะอันโต
ปะฏิทิสสะติ ตะทาหิ ปะกะตัง ปาปัง มะมะตุยหัญจะ
มาริสา
ไม่มีที่สุดสิ้นดอก เมื่อไหร่เล่ามันจะสิ้นเวรสิ้นกรรม ก็พวกเราทำแต่ความชั่วช้าสารเลวนี่ เพื่อนเอ๋ย
ไม่มีที่สุดสิ้นดอก เมื่อไหร่เล่ามันจะสิ้นเวรสิ้นกรรม ก็พวกเราทำแต่ความชั่วช้าสารเลวนี่ เพื่อนเอ๋ย
โส-โสหัง
นูนะอิโต คันตวา โยนิง ลัทธานะ มานุสิง วะทัญญู
สีละสัมปันโน กาหามิ กุสะลัง พะหุง
ถ้าเราได้เกิดเป็นมนุษย์อีก เราจะให้ทานรักษาศีลจะทำบุญกุศลเป็นอันมาก
ถ้าเราได้เกิดเป็นมนุษย์อีก เราจะให้ทานรักษาศีลจะทำบุญกุศลเป็นอันมาก
10.มหากุศลจิต ๘
สภาพจิต ซึ่งประกอบด้วยเจตนาที่ดีงาม
อันเป็นกามาวจรกุศลนี้ จึงเรียกว่า มหากุศลจิต โดยจำแนกออกได้เป็น ๘ ประเภท คือ
๑.) โสมนสฺสสหคตํ ญาณสมฺปยุตฺตํ
อสงฺขาริกํ คือ จิตที่เกิดขึ้นพร้อมกับความยินดี ประกอบด้วยปัญญา
โดยไม่มีการชักชวน
๒.) โสมนสฺสสหคตํ ญาณสมฺปยุตฺตํ
สสงฺขาริกํ คือ จิตที่เกิดขึ้นพร้อมกับความยินดี ประกอบด้วยปัญญา โดยมีการชักชวน
๓.) โสมนสฺสสหคตํ ญาณวิปฺปยุตฺตํ
อสงฺขาริกํ คือ จิตที่เกิดขึ้นพร้อมกับความยินดี ไม่ประกอบด้วยปัญญา
โดยไม่มีการชักชวน
๔.) โสมนสฺสสหคตํ ญาณวิปฺปยุตฺตํ
สสงฺขาริกํ คือ จิตที่เกิดขึ้นพร้อมกับความยินดี ไม่ประกอบด้วยปัญญา
โดยมีการชักชวน
๕.) อุเบกฺขาสหคตํ ญาณสมฺปยุตฺตํ
อสงฺขาริกํ คือ จิตที่เกิดขึ้นพร้อมกับความเฉยๆ ประกอบด้วยปัญญา โดยไม่มีการชักชวน
๖.) อุเบกฺขาสหคตํ ญาณสมฺปยุตฺตํ
สสงฺขาริกํ คือ จิตที่เกิดขึ้นพร้อมกับความเฉยๆ ประกอบด้วยปัญญา โดยมีการชักชวน
๗.) อุเบกฺขาสหคตํ ญาณวิปฺปยุตฺตํ
อสงฺขาริกํ คือ จิตที่เกิดขึ้นพร้อมกับความเฉยๆ ไม่ประกอบด้วยปัญญา
โดยไม่มีการชักชวน
๘.) อุเบกฺขาสหคตํ ญาณวิปฺปยุตฺตํ
สสงฺขาริกํ คือ จิตที่เกิดขึ้นพร้อมกับความเฉยๆ ไม่ประกอบด้วยปัญญา โดยมีการชักชวน